ตลาดคริปโตในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 ต้องเผชิญกับ ‘ภัยคุกคามด้านความปลอดภัย’ ที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง โดยตามรายงานการวิเคราะห์แนวโน้มด้านความปลอดภัยประจำไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของ *CertiK Research* ระบุว่า มีเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยเกิดขึ้นมากถึง 344 กรณีในอุตสาหกรรม Web3 ทั่วโลก ส่งผลให้สินทรัพย์รวมมูลค่ากว่า *2.473 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ* ได้รับความเสียหาย ซึ่งสูงกว่ามูลค่าความเสียหายรวมตลอดปี 2024 ไปแล้ว แสดงให้เห็นว่า *จุดอ่อนด้านโครงสร้างความปลอดภัยของระบบคริปโตยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง*
ในบรรดาการโจมตีครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว มี 2 เหตุการณ์หลักที่สร้างความเสียหายคิดเป็น *72%* ของความเสียหายรวม หรือประมาณ *1.78 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ* โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ *Bybit* และ *Cetus Protocol* โดยเฉพาะกรณีของ Cetus Protocol ที่ถูกแฮ็กบนเครือข่าย Sui ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแบบกระจายศูนย์ (DEX) โดยโดนขโมยสินทรัพย์ไปกว่า *226 ล้านดอลลาร์สหรัฐ* ผ่านการปรับเปลี่ยนฟังก์ชันของ ‘พูลสภาพคล่อง’ ในสมาร์ตคอนแทรกต์ ทว่าสินทรัพย์บางส่วนประมาณ *162 ล้านดอลลาร์สหรัฐ* ได้รับการกู้คืนภายหลังผ่านทางกลไกการกำกับดูแลของชุมชน
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์แฮ็ก *Nobitex* ซึ่งทำให้มีการเผาเหรียญเป็นมูลค่าถึง *89.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ* โดย *CertiK Research* ประเมินว่า ความถี่ของการโจมตีที่มีลักษณะ ‘แฮกเกอร์เพื่อแสดงจุดยืน’ หรือ hacktivism มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
เฉพาะในไตรมาส 2 ปี 2025 เพียงอย่างเดียว มีเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยรายงานทั้งหมด *144 กรณี* ส่งผลให้มูลค่าความเสียหายรวมแตะที่ *801 ล้านดอลลาร์สหรัฐ* แม้ว่าจะลดลงจากไตรมาสก่อนทั้งด้านจำนวนเหตุการณ์ (ลดลง 52.1%) และมูลค่าความเสียหาย (ลดลง 59 กรณี) แต่รูปแบบการโจมตีกลับมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะ ‘*ฟิชชิง*’ ซึ่งกลายเป็น *เวกเตอร์โจมตีหลัก* คิดเป็นความเสียหายราว *395 ล้านดอลลาร์สหรัฐ* รองลงมาคือ *ช่องโหว่จากโค้ด* มูลค่า *236 ล้านดอลลาร์สหรัฐ* และกรณี *ขโมยกระเป๋าเงินดิจิทัล* คิดเป็นความเสียหายสูงสุดระดับ *1.707 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ* ตลอดครึ่งปี
บนเครือข่ายที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ *อีเธอเรียม(ETH)* ซึ่งเกิดเหตุการณ์ทั้งหมด *175 กรณี* มูลค่าความเสียหายรวมสูงถึง *1.635 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ* ซึ่งนับเป็นเครือข่ายที่มีความเสี่ยงแพร่หลายกว่าบล็อกเชนรายอื่นๆ และตอกย้ำถึงความจำเป็นในการตรวจสอบความปลอดภัยของโครงการที่ใช้ *Ethereum* เป็นพื้นฐาน
รายงานของ *CertiK Research* ยังชี้ว่า สาเหตุหลักของความเสียหายวงกว้างนี้มาจาก *ช่องโหว่ของโค้ด* และ *ความรู้ด้านความปลอดภัยของผู้ใช้ที่ยังไม่เพียงพอ* พร้อมเน้นการวางระบบป้องกันที่หลากหลาย ตั้งแต่การจัดการคีย์ส่วนตัวอย่างปลอดภัย กลยุทธ์รับมือฟิชชิง และการทดสอบความปลอดภัยของสมาร์ตคอนแทรกต์ระดับลึก
นอกเหนือจากภัยคุกคามทางเทคนิค ปัจจัยด้านนโยบายทั่วโลกก็เริ่มส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในตลาดคริปโตเช่นกัน โดยสหรัฐได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 14178 เพื่อ *ห้ามออกสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC)* ขณะเดียวกันยังมี *นโยบายสำรองบิตคอยน์ของรัฐ* แบบเชิงกลยุทธ์ ในฝั่งยุโรป ‘*MiCA*’ ถูกบังคับใช้เพื่อวางกรอบกำกับดูแลผู้ให้บริการคริปโตและการออก ‘*สเตเบิลคอยน์*’ อย่างเป็นระบบ ส่วน *ฮ่องกง อินเดีย และปากีสถาน* ก็ดำเนินการปรับปรุงกฎหมายคริปโตอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ *CertiK* ยังให้ความรู้ผ่านบล็อกและงานวิจัยขั้นสูง เพื่อป้องกันเหตุโจมตีในอนาคต โดยเนื้อหาครอบคลุมหัวข้อที่นักพัฒนาและนักลงทุนควรทราบ ไม่ว่าจะเป็น การผสานเครือข่าย *EVM กับ Cosmos* มาตรฐานใหม่ของโทเคน การใช้เทคนิคลายเซ็นแบบหลายฝ่าย และการป้องกันการโจมตีผ่านการบิดเบือนข้อมูลของออราเคิล
รายงานยังระบุว่า หากไม่รวมเหตุการณ์ใหญ่เพียงไม่กี่เคส ความเสียหายรวมของปี 2025 จะอยู่ที่ราว *690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ* ซึ่ง *แสดงถึงโอกาสในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมความปลอดภัยในภาพรวม* อย่างไรก็ตาม *CertiK Research* เตือนว่า ด้วยความซับซ้อนของเทคโนโลยีและการโจมตีที่มีความละเอียดมากขึ้น การปรับปรุงด้านความปลอดภัยไม่ควรอ้างอิงแค่ตัวเลข แต่ต้องมีวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุมทั้งเชิงป้องกัน ฝึกอบรม และรับมืออย่างต่อเนื่องในระดับระบบนิเวศทั้งหมด
ความคิดเห็น 0