สหรัฐฯ ออกกฎหมาย GENIUS Act กำหนดกรอบสเตเบิลคอยน์ ดันนโยบายชัดเจนทั่วโลก
เมื่อวันที่ 24 ผ่านมา (เวลาท้องถิ่น) รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายใหม่ชื่อว่า *GENIUS Act* ซึ่งเปรียบเสมือนจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรม *สเตเบิลคอยน์* พร้อมวางมาตรฐานใหม่ของการกำกับดูแลด้านการเงินดิจิทัลระดับโลก โดยกฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่แค่การจัดระเบียบในประเทศ แต่ยังถูกรับรู้ว่าจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินโลกและระบบนิเวศของคริปโตเคอร์เรนซีในระยะยาว
ฟาเบียง ดอริ(Fabian Dori) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ *ไซแอกนัม แบงก์ (Sygnum Bank)* สถาบันการเงินคริปโตที่มีสำนักงานใหญ่ในสวิตเซอร์แลนด์ ให้สัมภาษณ์กับ Cointelegraph ผ่านพอดแคสต์ Byte-Sized Insight เกี่ยวกับผลกระทบที่กฎหมายนี้จะมีต่อการนำ *สเตเบิลคอยน์* ไปใช้จริง การดึงดูดนักลงทุนสถาบันเข้าสู่ตลาด และแนวโน้มต่อความสอดคล้องของกรอบกฎหมายทั่วโลก
ดอริระบุว่า GENIUS Act ได้ *วางนิยามและมาตรฐานการดำเนินงานที่ชัดเจน* ต่อสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทนี้ ซึ่งถือว่า *ลดอุปสรรคสำหรับนักลงทุนสถาบัน* ได้อย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ กรอบกฎหมายที่ไม่แน่นอนในสหรัฐฯ มักเป็นตัวสกัดการเข้าร่วมของสถาบันขนาดใหญ่ การออกกฎหมายครั้งนี้จึงอาจเป็นตัวจุดประกายให้เกิดความเคลื่อนไหวของเม็ดเงินระดับสถาบันในวงการคริปโตอย่างจริงจัง
เขายังให้ *ความคิดเห็น* ว่า “กฎหมายนี้ไม่ใช่แค่การควบคุมทางการเงินเท่านั้น แต่เป็นการเร่งรัดให้ประเทศใหญ่ๆ รวมถึงสหรัฐฯ สร้างกรอบการดำเนินงานของ *สเตเบิลคอยน์ที่อิงกับดอลลาร์ดิจิทัล* อย่างเป็นระบบ ซึ่งถือเป็นการชี้ทิศทางให้กับวงการฟินเทคทั่วโลก”
โดย GENIUS Act ยังอาจส่งอิทธิพลต่อกรอบกำกับดูแลของยุโรปอย่าง *MiCA* รวมถึงนโยบายด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของหลายประเทศในเอเชีย ส่งผลให้หลายฝ่ายคาดหวังถึงการสร้างมาตรฐานระดับโลกที่สอดคล้องกันมากขึ้น
สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ กฎหมายใหม่นี้ขานรับกับแนวนโยบายที่ *ประธานาธิบดีทรัมป์* แสดงจุดยืนสนับสนุนต่อสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงที่ผ่านมา ทำให้วิสัยทัศน์เรื่องคริปโตเคอร์เรนซีของสหรัฐฯ มีความต่อเนื่องและชัดเจนยิ่งขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญในวงการเห็นตรงกันว่านี่คือ *ก้าวแรกของความชัดเจนด้านกฎระเบียบ* ที่จำเป็นต่อการยกระดับการลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยีคริปโต ทั้งนี้ แม้การถกเถียงเรื่องบทบาทของ *สเตเบิลคอยน์* จะยังคงดำเนินต่อไป แต่การผ่านกฎหมาย GENIUS อย่างน้อยก็เป็น *สัญญาณแห่งความชัดเจนเชิงนโยบาย* ซึ่งสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งภาคธุรกิจและนักลงทุนที่เตรียมเข้าสู่ตลาด
ตอนนี้ตลาดต่างจับตาอยู่ว่า กรอบการกำกับดูแลใหม่นี้จะสามารถถูกนำไปใช้จริงในธุรกิจและธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ *ได้เร็วแค่ไหน*
ความคิดเห็น 0