สหรัฐฯ เคลื่อนไหวดึงอุตสาหกรรมคริปโตกลับบ้าน เสนอ "ยุคทองใหม่" ท่ามกลางท่าทีสนับสนุนจากทรัมป์
อุตสาหกรรมคริปโตที่เคยกระจายตัวออกไปยังต่างประเทศ กำลังเริ่มหันกลับมาสู่สหรัฐอเมริกาอีกครั้ง หลังจากฝ่ายการเมืองของสหรัฐฯ ระบุให้อุตสาหกรรมคริปโตเป็นหนึ่งในหมุดหมายของนโยบาย ‘รีชอริ่ง’ หรือการนำธุรกิจกลับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ พอล แอตกินส์(Paul Atkins) ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า จะส่งเสริมให้สหรัฐฯ กลับมาเป็นศูนย์กลางของ ‘อุตสาหกรรมคริปโต’ อีกครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แอตกินส์ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่สถาบันนโยบาย ‘อเมริกาเฟิร์สต์’ ว่า *“เราต้องดึงบริษัทคริปโตที่เคยย้ายออกไปกลับมาอีกครั้ง”* พร้อมย้ำว่าสหรัฐฯ ต้องกลับมาเป็น *ศูนย์กลางระดับโลกของสินทรัพย์ดิจิทัล* อีกครั้ง ภายใต้กรอบกำกับที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเขาเน้นว่านี่คือส่วนหนึ่งของนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับชาติตามยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์
สก็อตต์ เบสเซนต์(Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังได้สนับสนุนในทิศทางเดียวกัน โดยกล่าวว่า *“นี่คือยุคทองของคริปโตในอเมริกา”* พร้อมเรียกร้องให้บริษัทต่างเริ่มต้นกิจการในประเทศ เปิดตัวโปรโตคอล และสรรหาบุคลากรในสหรัฐฯ โดยตรง เพื่อลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ
การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายนี้เริ่มเห็นผลในเชิงปฏิบัติ โดยบริษัทสัญชาติคริปโตอย่าง *คราเคน(Kraken)* และ *มูนเพย์(MoonPay)* ได้เริ่มขยายการดำเนินงานภายในประเทศอีกครั้ง ขณะที่บางโครงการซึ่งเคยย้ายสำนักงานใหญ่ไปต่างประเทศ ก็เริ่มแสดงท่าทีจะย้ายกลับสหรัฐฯ เช่นกัน
สำหรับแนวทางในเชิงกลไก ก.ล.ต.สหรัฐฯ ได้เปิดตัวแผนงานภายใต้ชื่อ *‘Project Crypto’* อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ‘ปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดรับกับยุคการเงินดิจิทัล’ และสะท้อนคำแนะนำจากคณะทำงานประธานาธิบดีว่าด้วยตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล(PWG) โดยสาระสำคัญคือ *การออกใบอนุญาตแบบรวมศูนย์สำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลายประเภท* และ *แยกโครงสร้างตลาดระหว่างสินทรัพย์ประเภทสินค้าโภคภัณฑ์(Commodity) กับหลักทรัพย์(Security) อย่างชัดเจน*
ในประเด็นของนวัตกรรม แอตกินส์เน้นว่าสหรัฐฯ ควร *ยกเว้นหรือลดข้อจำกัดด้านกฎระเบียบสำหรับโครงการระยะเริ่มต้นและซอฟต์แวร์แบบไร้ศูนย์กลาง* โดยกล่าวว่า *“เราต้องให้เวลานวัตกรรม ไม่ใช่กำจัดก่อนที่มันจะเติบโต”* เพื่อป้องกันปัญหาที่โครงการใหม่ถูกปิดตัวลงตั้งแต่ระยะแรกอย่างไม่เป็นธรรม เช่นที่เคยเกิดกับการเสนอขายเหรียญใหม่(ICO) หลายครั้งในอดีต
ด้านข้อมูลสนับสนุนจากภาคธุรกิจ รายงาน *Global CFO Survey ประจำไตรมาส 2 ปี 2025* โดยบริษัท ดีลอยต์ ระบุว่า CFO จากบริษัทที่มีรายได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.39 แสนล้านบาท) จำนวน 99% มีแผนจะนำคริปโตมาใช้ในระยะยาว โดย 23% วางแผนใช้ในงานบัญชีหรือการชำระเงินภายใน 2 ปี ส่วนบริษัทที่มีรายได้เกิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ มีถึง 40% ที่ให้คำตอบในทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการยอมรับคริปโตในระดับองค์กร ได้แก่ *ความผันผวนของราคา (43%)*, *ความซับซ้อนทางบัญชี (42%)* และ *ความไม่ชัดเจนของกฎระเบียบ (40%)* โดยดีลอยต์ให้ความเห็นว่า แม้นโยบายภาครัฐจะเปลี่ยนไปในทางบวก แต่ยังต้องใช้เวลาเพื่อให้เกิด *ความมั่นคงทางกฎหมาย* ที่เพียงพอ
ภาพรวมชี้ชัดว่า สหรัฐฯ กำลังพยายามสร้าง *สภาพแวดล้อมใหม่ที่เอื้อต่อการเติบโตของคริปโต* มากขึ้น ทั้งจากการปลดล็อกเชิงนโยบายโดย SEC, ความตั้งใจของประธานาธิบดีทรัมป์ในการผลักดันอุตสาหกรรม และการสนับสนุนโดยตรงจากกระทรวงการคลัง สิ่งเหล่านี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้สหรัฐฯ กลับมาแย่งชิง *ความเป็นผู้นำในโลกสินทรัพย์ดิจิทัล* ได้อีกครั้งในระยะยาว
ความคิดเห็น 0