สหราชอาณาจักรกำลังเผชิญกับความกังวลว่าอาจ ‘ตามหลัง’ ในอุตสาหกรรมสเตเบิลคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก ทั้งที่มี ‘ศักยภาพทางเทคโนโลยี’ พร้อมแข่งขันระดับโลก โดยเมื่อวันที่ 24 ตามเวลาท้องถิ่น จอร์จ ออสบอร์น(George Osborne) ที่ปรึกษาของบริษัทซื้อขายคริปโตยักษ์ใหญ่ ‘คอยน์เบส(Coinbase)’ ได้เขียนบทความวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลอังกฤษอย่างเข้มข้น ชี้ว่าอังกฤษกำลังสูญเสียบทบาทผู้นำในด้านนวัตกรรมการเงิน เนื่องจากการกำหนดกรอบกฎหมายและการสนับสนุน ‘สเตเบิลคอยน์’ ยังล่าช้าและไม่ชัดเจน
ออสบอร์น อดีตรัฐมนตรีการคลังของอังกฤษ ซึ่งเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาคอยน์เบสตั้งแต่ปีที่แล้ว ถือเป็นหนึ่งในผู้เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงนโยบายดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษอย่างต่อเนื่อง เขากล่าวในบทความที่ตีพิมพ์ลง ‘ไฟแนนเชียลไทมส์’ ว่า “อังกฤษไม่ได้เป็นผู้นำนวัตกรรมอีกต่อไป แต่กำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” พร้อมเน้นว่าระบบกฎหมายปัจจุบันยังไม่รองรับสเตเบิลคอยน์ ทั้งที่เทคโนโลยีรูปแบบนี้สามารถลด ‘แรงเสียดทาน’ และเพิ่ม ‘ความสะดวกในธุรกรรมข้ามพรมแดน’ ซึ่งเป็น ‘จุดแข็งของเศรษฐกิจดิจิทัล’
คำกล่าวของออสบอร์นสอดคล้องกับทิศทางการสื่อสารของคอยน์เบสในระยะหลัง ซึ่งออกแคมเปญโฆษณาเสียดสีเกี่ยวกับการบริหารนโยบายทางการเงินของอังกฤษ และเร่งเพิ่มความพยายาม ‘วิ่งเต้น’ ใน ‘อังกฤษและยุโรป’ เพื่อตอบโต้ความไม่แน่นอนของข้อกฎหมายในสหรัฐอเมริกา
ในอีกด้าน ตลาดคริปโตในสหรัฐฯ เริ่มสะท้อนความ ‘ระแวดระวัง’ ของนักลงทุน หลังจากผลิตภัณฑ์ลงทุนในคริปโตแบบ ETP มีเงินไหลออกเป็นครั้งแรกในรอบ 15 สัปดาห์ ข้อมูลจาก ‘คอยน์แชร์ส(CoinShares)’ รายงานว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน มีเม็ดเงินกว่า ‘223 ล้านดอลลาร์’ หรือราว ‘3,100 ล้านบาท’ ไหลออกจากผลิตภัณฑ์ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก สะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ
สาเหตุของการเปลี่ยนทิศทางนี้ มาจากถ้อยแถลงเชิงรัดกุมของ ‘เจอโรม พาวเวล(Jerome Powell)’ ประธานเฟด ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) และรายงานตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดที่ออกมาดีเกินคาด ส่งผลให้นักลงทุนปรับลดความคาดหวังว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนลงจาก ‘63% เหลือเพียง 40%’ ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระทบแรงซื้อระยะสั้นของสินทรัพย์ ‘ความเสี่ยงสูง’ อย่างคริปโตโดยตรง
แม้ว่าการไหลออกในครั้งนี้สะท้อนความ ‘ตื่นตัว’ แต่อย่างไรก็ตาม ในรายงานของคอยน์แชร์สระบุว่า “เงินลงทุนกว่า 12,200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.69 ล้านล้านบาทที่ไหลเข้าตลอดเดือนก่อน คิดเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งปี ซึ่งแสดงว่า การถอนตัวครั้งนี้เป็นเพียง ‘แรงขายทำกำไร’ ช่วงสั้น”
ขณะเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าของสหรัฐฯ (CFTC) กำลังศึกษาและเตรียมมาตรการตอบรับหลังจากที่ ‘ทำเนียบขาว’ เผยแพร่ ‘รายงานการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล’ ฉบับล่าสุด ซึ่งอาจพลิกโฉมนโยบายคริปโตของสหรัฐฯ โดย CFTC มีแนวโน้มเดินหน้าเพิ่มขอบเขตอำนาจของตนเองในอุตสาหกรรมนี้ แม้จะยังไม่ได้รับสัญญาณสนับสนุนจากทั้งสองฝั่งการเมืองอย่างชัดเจน ความเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของโฉมใหม่วงการสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ความคิดเห็น 0