โคอินเบส(COIN) เผชิญกับความท้าทายด้านการกระจายรายได้และการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ของตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมกันในไตรมาสที่ 2 ตามรายงานล่าสุดของไคโค รีเสิร์ช(Kaiko Research) เมื่อวันที่ 24 ซึ่งชี้ว่าผลประกอบการของบริษัทต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่ลดลงและสภาพตลาดที่กระจุกตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างรายได้โดยตรง
โคอินเบสรายงานรายได้ 1.5 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 เพิ่มขึ้น 3.3% จากปีก่อนหน้า แต่ยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของวอลล์สตรีทที่ 1.59 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้น COIN ปรับตัวลดลง แม้ว่าเมื่อเทียบกับต้นปี หุ้น COIN ยังเพิ่มขึ้นมากกว่า 22% ทำผลงานเหนือกว่า S&P 500 ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 6.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งสะท้อนถึง ‘สถานะ’ ที่แข็งแกร่งของบริษัทในสายตานักลงทุน
ตามข้อมูลของไคโค รีเสิร์ช ปริมาณการซื้อขายที่ลดลงถือเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้รายได้ลดลง โดยในไตรมาสที่ 2 ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อเดือนของโคอินเบสลดลงจาก 89 พันล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน เหลือต่ำกว่า 57 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน ทั้งที่ช่วงเวลาดังกล่าวราคาบิตคอยน์(BTC) ทำจุดสูงสุดใหม่ บ่งชี้ว่าตลาดโดยรวมขาดความตื่นตัว โดย BTC มีความผันผวนที่ลดลงต่อเนื่องตลอดไตรมาส แม้ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ความผันผวนของอีเธอเรียม(ETH) จะพุ่งขึ้นถึง 100% แต่ก็แทบไม่มีผลในการกระตุ้นปริมาณการซื้อขาย
ความน่าสนใจของอีเธอเรียม(ETH) ยังลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยในไตรมาสที่ 2 ETH มีสัดส่วนการซื้อขายเพียง 15% ของโคอินเบส แม้มีการประกาศอัปเกรด ‘เพกทรา(Pectra)’ และราคาพุ่งในระยะสั้นแต่ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนได้มากนัก ในทางกลับกัน ริปเปิล(XRP) และโซลานา(SOL) กลับสร้างรายได้ให้กับโคอินเบสในสัดส่วนใกล้เคียงกับ ETH ในช่วงสั้น ๆ สะท้อนถึง ‘ความไม่มั่นคง’ ของโครงสร้างรายได้ที่ยังพึ่งพาเหรียญหลักเป็นหลัก ความคิดเห็นของไคโค ระบุว่า ETH ไม่สามารถทำจุดสูงสุดของปี 2021 ที่ 4,800 ดอลลาร์ได้ แม้ในช่วงตลาดขาขึ้นครั้งล่าสุด จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่นักลงทุนเบนความสนใจไปยังสินทรัพย์อื่น
เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากการซื้อขายเดิม โคอินเบสได้ขยายพอร์ตโดยเพิ่มสินทรัพย์ใหม่ 21 รายการในไตรมาสที่ผ่านมา โดยบางเหรียญซึ่งส่วนใหญ่เป็น ‘มิมคอยน์’ เช่น ฟาร์ตคอยน์(Fartcoin) มีการซื้อขายมากกว่า 3 ล้านครั้ง ได้รับความสนใจจากนักเทรดรายย่อยอย่างล้นหลาม อย่างไรก็ตาม เหรียญกลุ่มนี้แม้อาจสร้าง *สภาพคล่อง* ได้ในระยะสั้น แต่ก็ขาดเสถียรภาพในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
ในมุมของกลยุทธ์ระยะยาว โคอินเบสเดินหน้าขยายตลาดไปยังดีไฟ(DeFi), ตลาดอนุพันธ์แบบไม่มีวันหมดอายุ (perpetual futures) และโครงการแปลงหุ้นเป็นโทเคน โดยซีอีโอ ไบรอัน อาร์มสตรอง ระบุว่า “หากสามารถคว้าส่วนแบ่งเพียง 3% ของตลาดซื้อขายหุ้น ก็สามารถสร้างโอกาสในตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าเงินทุนรวมในตลาดคริปโตทั้งหมดถึง 2 เท่า” เขายังเชื่อว่าผลิตภัณฑ์อนุพันธ์จะช่วยเสริมแรงให้ตลาดสปอตเติบโตด้วย นับเป็นกลยุทธ์โต้กลับต่อคู่แข่งอย่างไบแนนซ์, OKX และบายบิต
อย่างไรก็ตาม ตลาดเป้าหมายดังกล่าวมีการแข่งขันสูงและอิ่มตัวแล้ว อีกทั้งผลิตภัณฑ์บางรายการของโคอินเบส โดยเฉพาะในกลุ่มสินทรัพย์ที่ถูกโทเคนไรซ์ ยังมีอัตราการใช้งานต่ำ ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ด้านรายได้ในระยะสั้นไม่ตรงกับความคาดหวัง ไคโค รีเสิร์ชจึงให้ความเห็นว่า “วิสัยทัศน์การเป็น ‘แพลตฟอร์มครบวงจร’ ของโคอินเบส เป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่วางแผนมาเพื่อบรรเทาความเสี่ยงจากรายได้ตลาดสปอต แต่ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในหลายมิติ” พร้อมเตือนถึงข้อควรระวังในตลาดที่ยังไม่แน่นอน
สุดท้าย กลยุทธ์การเปลี่ยนโครงสร้างรายได้ของโคอินเบสจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสภาวะตลาด กฎระเบียบ หรือความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งในโลกของคริปโตที่การแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกวัน กลยุทธ์ของโคอินเบสอาจเป็น ‘การเดิมพันระยะยาว’ ที่ผลลัพธ์ต้องรอพิสูจน์ในอนาคต
ความคิดเห็น 0