อีเธอเรียม(ETH) กลับมาเป็นจุดสนใจของตลาดคริปโตอีกครั้ง หลังจากราคาพุ่งทะลุ 4,200 ดอลลาร์ (ประมาณ 5.83 ล้านบาท) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2021 โดยภายในหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาปรับตัวขึ้นถึง 19% และในวันเดียวก็เพิ่มขึ้นอีก 7.5% ทำให้เกิดการปิดสถานะชอร์ตเป็นมูลค่ากว่า 207 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.87 พันล้านบาท) ท่ามกลางกระแสขาขึ้นที่ชัดเจน *คำสำคัญ: อีเธอเรียม, ราคาพุ่ง, ชอร์ตถูกล้าง*
การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงทำให้นักวิเคราะห์บางรายเริ่มพูดถึงแนวโน้มที่อีเธอเรียมจะไปถึงระดับ *12,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 16.6 ล้านบาท)* โดยทราเซอร์ (Tracer) นักวิเคราะห์ด้านออนเชน ระบุทาง X ว่า "ETH กำลังพยายามทะลุแนวต้านที่ลากยาวมากว่า 4 ปี" พร้อมเสริมว่า “12,000 ดอลลาร์ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป” และแนะนำให้รีบเปิดสถานะก่อนราคาไปไกลกว่านี้
ในมุมมองเดียวกัน ยูทูบเบอร์ ‘คริปโต โรเวอร์(Crypto Rover)’ เชื่อว่า หาก ETF แบบสปอตและแบบสเตคของอีเธอเรียมที่บริหารโดย แบล็คร็อก ได้รับการอนุมัติ ราคาน่าจะทะยานต่อไปถึงระดับ 6,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 8.34 ล้านบาท) อย่างรวดเร็ว
บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชนอย่าง *Glassnode* ก็ออกมาเสริมความเห็นในเชิงบวก โดยระบุว่าจำนวนผู้ซื้อรายใหม่และนักลงทุนประเภทโมเมนตัมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งส่งสัญญาณว่าตลาดอีเธอเรียมกำลังมี *ความต้องการใหม่*
ในด้านการเมือง เอริก ทรัมป์ บุตรชายของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ออกมาแสดงความเห็นเช่นกัน โดยโพสต์ข้อความบน X ว่า “เห็นพวกชอร์ต ETH ถูกชำระตำแหน่งแล้วอดขำไม่ได้ BTC และ ETH คือสิ่งที่ไม่ควรต่อต้าน เพราะจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้”
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักวิเคราะห์ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวโน้มเชิงบวกเช่นนี้ อีกรัก คริปโต (EGRAG CRYPTO) ยังคงยึดมุมมองเชิงลบต่อ ETH โดยระบุว่าหากค่า ETH/BTC ปิดสูงกว่า 0.039 จะเปิดสถานะชอร์ตทันที พร้อมระบุว่านี่คือ *"โอกาสล้างแค้นส่วนตัว"*
ด้านนักวิเคราะห์แนวกลางอย่าง มิกาเอล ฟาน เดอ ปอพเป(Michaël van de Poppe) ก็เตือนว่า การเข้าซื้อ ETH ที่ราคาปัจจุบันอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดี โดยแนะนำให้กระจายการลงทุนไปยังกลุ่มสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอีเธอเรียมแทน
ปัจจุบัน ราคาของอีเธอเรียมยังต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลเพียงราว 15% ซึ่งทำให้เป้าหมาย 12,000 ดอลลาร์ ดูไม่ไกลเกินจริงอีกต่อไป *ความคิดเห็น*: ตลาดอาจกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเร่งตัวแรงเกินไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนควรระมัดระวัง เพราะแม้ราคาจะขึ้นรุนแรง แต่ประวัติศาสตร์ก็สอนเรามาแล้วว่า ‘การพุ่งขึ้นแบบพาราโบลิค’ มักจบลงด้วยการปรับฐานอย่างรุนแรงเสมอ
ความคิดเห็น 0