บิตคอยน์(BTC) กำลังเป็นที่จับตามองของนักลงทุน หลังจากราคาสามารถทะลุแนวต้านด้านสภาพคล่องที่สำคัญ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าราคาจะสามารถปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ ‘115,000 ดอลลาร์’ (ประมาณ 15.9 ล้านบาท) ได้ในเร็ว ๆ นี้ โดยข้อมูลจากเครื่องมือทางเทคนิคหลายด้านยังคงส่งสัญญาณ ‘ขาขึ้น’ และแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนบรรยากาศเชิงบวกนี้
จากข้อมูลของ CoinGlass แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลออนเชน ระบุว่าแนวต้านสำคัญที่มีการสะสมคำสั่งขายเป็นจำนวนมากในช่วง ‘109,500 ถึง 110,000 ดอลลาร์’ (ประมาณ 15.2–15.3 ล้านบาท) เพิ่งถูกทะลุไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ สร้างแรงผลักดันให้ราคาบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นแตะระดับ ‘112,107 ดอลลาร์’ (ประมาณ 15.5 ล้านบาท) เมื่อต้นสัปดาห์ และล่าสุดยังคงซื้อขายอยู่ที่ใกล้ระดับ ‘112,085 ดอลลาร์’
ในแง่ของกราฟเทคนิค จุดแนวต้านถัดไปอยู่ที่บริเวณ ‘115,000 ดอลลาร์’ ซึ่งเป็นระดับใกล้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันบนกราฟรายวัน และหากพิจารณากราฟรายชั่วโมงจะพบว่ารูปแบบ ‘Inverse Head and Shoulders’ กำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าสามารถมีโอกาสขึ้นต่อไปถึงระดับ ‘120,000 ดอลลาร์’ (ประมาณ 16.6 ล้านบาท)
นักลงทุนในตลาดกำลังจับตารายงานตัวเลข ‘ดัชนีราคาผู้บริโภค’ (CPI) และ ‘ดัชนีราคาผู้ผลิต’ (PPI) ของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ หากข้อมูลชี้ว่าแรงกดดันเงินเฟ้อลดลง ก็อาจเป็น ‘ปัจจัยหนุน’ ให้เกิดความคาดหวังว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยลง และจะถือเป็นผลบวกต่อราคาคริปโตในภาพรวม
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของนักลงทุนสถาบันก็ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเมตาแพลนเน็ต บริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่น เพิ่งเข้าซื้อบิตคอยน์จำนวน ‘136 เหรียญ’ คิดเป็นมูลค่า ‘15.2 ล้านดอลลาร์’ (ประมาณ 211.3 ล้านบาท) และขยายสถานะการถือครองรวมเป็น ‘20,136 BTC’ โดยมีต้นทุนเฉลี่ยต่อเหรียญอยู่ที่ ‘103,196 ดอลลาร์’ (ประมาณ 14.3 ล้านบาท) ส่งผลให้ผลตอบแทนการลงทุนตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ ‘487%’
นอกจากนี้ บริษัทลงทุนจากแอฟริกาใต้ชื่อว่า แอลต์เวสต์ แคปิทัล ยังประกาศจัดหาทุนกว่า ‘210 ล้านดอลลาร์’ (ประมาณ 2,919 ล้านบาท) เพื่อนำไปซื้อบิตคอยน์ไว้เป็นเงินทุนสำรอง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาของบริษัทในแอฟริกาที่มีแนวโน้มจะยอมรับและใช้งานคริปโตอย่างจริงจัง และสะท้อนกระแสโลกที่เริ่มเห็นการนำบิตคอยน์ไปใช้งานในระดับองค์กรอย่างเป็นรูปธรรม
ตลอดปีที่ผ่านมา ราคาบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นกว่า ‘95%’ และสามารถสร้าง ‘จุดสูงสุดใหม่’ ที่ ‘124,457 ดอลลาร์’ (ประมาณ 17.3 ล้านบาท) ได้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้การเบรกทะลุแนวต้านรอบล่าสุดนี้อาจกลายเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ที่ผลักดันราคาให้เร่งตัวขึ้นในระยะสั้นต่อไปก็เป็นได้
ความคิดเห็น 0