‘บรรดาวาฬบนไบแนนซ์’ กำลังเร่งสะสมอีเธอเรียม(ETH) ส่งสัญญาณการฟื้นตัวของราคาในระยะสั้นหรือไม่? กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงคริปโต หลังมีความเคลื่อนไหวการซื้อสะสม ETH ครั้งใหญ่ผ่านกระเป๋าใหม่หลายรายการในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณที่อาจบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัลตัวนี้อย่างต่อเนื่อง
ตามข้อมูลจากแพลตฟอร์มวิเคราะห์บล็อกเชน เมื่อไม่นานมานี้ กระเป๋าใหม่ที่มีชื่อว่า 0x9D99 ได้ถอนอีเธอเรียมจากบิทเก็ตและไบแนนซ์เป็นจำนวนรวม 5,297 ETH หรือราว 24.73 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 343 ล้านบาท) ขณะที่กระเป๋าอีกชุด 0x7451 จากแพลตฟอร์มโบรกเกอร์คริปโตชื่อดังอย่าง ฟอลคอนเอ็กซ์(FalconX) ก็รับ ETH ไปมากถึง 13,322 เหรียญ โดยรวมคิดเป็นมูลค่าราว 61.65 ล้านดอลลาร์ (ราว 857 ล้านบาท) นอกจากนี้ กระเป๋า 0x4d43 ยังถอน ETH จากไบแนนซ์เพิ่มเติมอีก 4,208 เหรียญ หรือราว 19.48 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 271 ล้านบาท)
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนการซื้อขายทั่วไป แต่ยังถูกมองว่าเป็น ‘กลยุทธ์การถือครองระยะยาว’ หรือที่นักลงทุนรู้จักกันในชื่อ HODL ซึ่งโดยปกติแล้วการย้ายเหรียญออกจากกระดานเทรดไปยังกระเป๋าส่วนตัวมักหมายถึงความตั้งใจที่จะไม่ขายในระยะนี้ และลดแรงเสนอบนกระดานซื้อขาย อันเป็น ‘ปัจจัยบวกต่อราคา’ โดยตรง โดยเฉพาะในตอนนี้ที่จำนวน ETH บนแพลตฟอร์มเทรดอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปี
นอกจากปริมาณการถือครองที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยด้านเทคนิคที่สนับสนุนทิศทางบวกของ ETH ขณะนี้ราคากำลังแกว่งตัวอยู่ระหว่าง 4,500~4,600 ดอลลาร์ (625,000~639,000 บาท) และยังคงยืนเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน ที่ระดับ 4,200 ดอลลาร์ (583,000 บาท) รวมถึงค่าเฉลี่ย 100 วัน ที่ 3,700 ดอลลาร์ (514,000 บาท) ได้อย่างแข็งแกร่ง
นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าหากอีเธอเรียมสามารถรักษาระดับสนับสนุนดังกล่าวไว้ได้ และยังคงได้รับแรงหนุนจากนักเก็บเหรียญรายใหญ่ ราคามีโอกาสกลับมาทดสอบแนวต้านสำคัญที่ระดับ 4,800~5,000 ดอลลาร์ (667,000~695,000 บาท) ที่ถูกมองว่าเป็น ‘กำแพงทางจิตวิทยาและเทคนิค’ มาอย่างยาวนาน และหากสามารถฝ่าแนวดังกล่าวได้ จะถือเป็นการเปิดทางให้เกิดคลื่นพุ่งขึ้นรอบใหม่
แม้ตลาดคริปโตจะยังมีความผันผวนสูงอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจัยพื้นฐานของอีเธอเรียมและความต้องการจากนักลงทุนสถาบันยังถือว่า ‘แข็งแกร่ง’ การสะสมของวาฬในรอบนี้จึงอาจกลายเป็นชนวนส่งสัญญาณการฟื้นตัวของราคาที่ตลาดกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดในขณะนี้ ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญบางรายระบุว่า หากเสถียรภาพภาคพื้นฐานยังคงอยู่ การซื้อเชิงกลยุทธ์จากนักลงทุนรายใหญ่จะกลายเป็นตัวเร่งสำคัญในรอบขาขึ้นครั้งต่อไป
ความคิดเห็น 0