อีเธอเรียม(ETH) ยังคงแสดงสัญญาณเชิงบวกทั้งในแง่ของกิจกรรมบนเครือข่ายและความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน โดยบริษัทวิเคราะห์คริปโตชื่อว่า CryptoQuant รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า อีเธอเรียมกำลังกลายเป็น ‘สินทรัพย์กลยุทธ์ระยะยาว’ ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหลังจากที่กองทุน ETF แบบสปอตในสหรัฐฯ ได้รับการอนุมัติ ส่งผลให้แรงซื้อจากฝั่งสถาบันแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลเผยว่า ปริมาณอีเธอเรียมที่ถือโดยกองทุน ETF แบบสปอตในสหรัฐฯ พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.7 ล้านเหรียญ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 205.4 พันล้านวอน และมากกว่าสองเท่าจากช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา โดยกระเป๋าบัญชีรายใหญ่ที่ถือครองระหว่าง 10,000–100,000 ETH ก็มีความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเก็บสะสมเพิ่มอีก 6 ล้านเหรียญในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ยอดรวมเพิ่มเป็น 20.6 ล้านเหรียญ ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ‘การเข้าซื้อของสถาบัน’ เหล่านี้เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตด้านราคาและเสถียรภาพเชิงโครงสร้างในระยะยาว
ขณะที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ความกดดันฝั่งขายก็ดูเหมือนลดลงอย่างมากเช่นกัน โดยปริมาณ ETH ที่ถูกโอนไปยังแพลตฟอร์มซื้อขายแบบรวมศูนย์ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 1.8 ล้านเหรียญต่อวันในช่วงกลางเดือนสิงหาคม เหลือเพียง 750,000 เหรียญในปัจจุบัน สะท้อนถึงพฤติกรรมการถือสินทรัพย์มากกว่าการทำกำไรระยะสั้น ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อเสถียรภาพด้านราคา
นอกจากนี้ ปริมาณ ETH ที่ถูกนำไปสเตกก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยยอดวางประกันของผู้ตรวจสอบเครือข่าย (Validator) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมพุ่งทะลุ 36.2 ล้านเหรียญ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,110 ล้านล้านวอน สิ่งนี้นำไปสู่การลดอุปทานในภาพรวมและก่อให้เกิด ‘แรงซื้อที่แข็งแกร่ง’
ในด้านกิจกรรมเครือข่าย อีเธอเรียมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จำนวนกระเป๋าใช้งานประจำวันสูงถึง 800,000 บัญชี พร้อมกับปริมาณธุรกรรมแตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 1.7 ล้านรายการต่อวัน ขณะที่จำนวนการเรียกใช้งานสมาร์ตคอนแทรกต์ต่อวันทะลุ 12 ล้านครั้ง CryptoQuant วิเคราะห์ว่า แนวโน้มดังกล่าวชี้ว่า อีเธอเรียมกำลังก้าวขึ้นมาเป็น ‘เลเยอร์การชำระเงินเชิงโปรแกรม’ สำหรับการเงินแบบกระจายอำนาจ(DeFi) และการโทเค็นสินทรัพย์อย่างเด่นชัด
อย่างไรก็ตาม ในเชิงเทคนิค ราคาของ ETH กำลังเผชิญกับแนวต้านที่แข็งแกร่งบริเวณ 5,200 ดอลลาร์ (ราว 7.22 ล้านบาท) ซึ่งเป็นระดับสำคัญในอดีต หากสามารถทะลุผ่านไปได้ ตลาดอาจเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ แต่ถ้าผลลัพธ์ตรงกันข้าม ก็อาจเกิดการพักฐานในระยะสั้น ความเคลื่อนไหวของ ETH ในช่วงไม่กี่วันข้างหน้าจึงอาจเป็นตัวชี้วัดว่าแนวโน้มขาขึ้นครั้งนี้เป็นเพียงการรีบาวด์ชั่วคราว หรือเป็นการเปลี่ยนเทรนด์ระยะยาวอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0