เครือข่ายพาย(Pi) อัปเกรดโปรโตคอล v23 เดินหน้า KYC แบบกระจายศูนย์ ท่ามกลางราคาดิ่ง 88%

เครือข่ายพาย(Pi Network) เดินหน้าพัฒนาบล็อกเชนต่อเนื่องหลังจากเสร็จสิ้นการอัปเกรดเครือข่ายทดลอง(Testnet) โดยเตรียมรองรับโปรโตคอลเวอร์ชันใหม่ v23 ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างระบบยืนยันตัวตนแบบกระจายศูนย์ผ่านคุณสมบัติ KYC ในระดับโปรโตคอล แม้มีความก้าวหน้าในเชิงเทคนิค แต่ราคาของเหรียญพาย(Pi) กลับยังคง ‘ดิ่งลง’ อย่างต่อเนื่อง สร้างความกังวลในหมู่ผู้ใช้งานและนักลงทุน

เมื่อวันที่ 15 ทีมงาน Pi News บัญชีทางการบนแพลตฟอร์ม X (อดีต Twitter) รายงานว่า เครือข่ายกำลังดำเนินการอัปเกรดจากเวอร์ชัน v19 สู่ v23 อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีผลครอบคลุมทั้งเครือข่ายทดลองทั้งสอง และเมนเน็ต สำหรับเวอร์ชัน v23 นั้น ได้รับการพัฒนาโดยอ้างอิงจาก Stellar v23 แต่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับระบบนิเวศของ Pi Network ถือเป็นโปรโตคอลแบบ ‘เฉพาะทาง’ ของเครือข่ายนี้

ทางทีมผู้พัฒนายังย้ำว่า การพัฒนาครั้งนี้จะช่วยเพิ่มอำนาจในการควบคุมให้กับผู้ใช้งาน พร้อมนำเสนอระบบยืนยันตัวตน KYC ที่ ‘กระจายศูนย์และขับเคลื่อนโดยชุมชน’ มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงวิจารณ์จากสมาชิกบางรายที่เห็นว่าการดำเนินการยืนยันตัวต้นยังล่าช้า สมาชิกคนหนึ่งในชุมชนกล่าวว่า "ควรเร่งจัดการกับบัญชีที่ยังไม่ผ่านการยืนยัน และเดินหน้าฟื้นคืนค่าของ Pi ให้กลับไปที่ 1 ดอลลาร์"

แม้ความสำเร็จในด้านเทคนิค แต่ราคาเหรียญ Pi ณ วันที่ 15 กันยายน ยังคงอยู่ที่ประมาณ 0.34 ดอลลาร์ (ราว 470 บาท) ซึ่งลดลงถึง ‘88%’ จากราคาสูงสุดในช่วงต้นปีที่ระดับ 3 ดอลลาร์ (ประมาณ 4,170 บาท) ความหวังในการฟื้นตัวแม้ยังคงอยู่ แต่ตัวชี้วัดหลักหลายประการกลับบ่งชี้ถึงความเสี่ยงในการ ‘ปรับฐานลงต่อ’

แรงกดดันสำคัญในขณะนี้คือ ‘การปลดล็อกสภาพคล่อง’ โดยเร็ว ๆ นี้จะมีเหรียญ Pi ถูกปลดล็อกมากถึง 137 ล้านโทเคนภายใน 30 วันข้างหน้า ซึ่งอาจกลายเป็นโอกาสในการขายของนักลงทุนที่รอคอยมานาน ขณะเดียวกัน ปริมาณเหรียญ Pi ที่ถูกฝากไว้ในตลาดซื้อขายแบบรวมศูนย์(CEX) ก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจุบันมีมากกว่า 440 ล้านโทเคนที่ถูกเก็บรักษาไว้ในตลาดดังกล่าว โดยกว่า 50% อยู่ที่ Gate.io ขณะที่ Bitget ถือครองราว 147 ล้านโทเคน

การย้ายเหรียญจำนวนมากจากกระเป๋าเก็บเองไปยังตลาดซื้อขาย ถือเป็น ‘สัญญาณเตือน’ ว่าอาจมีการขายออกในวงกว้าง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ย่อมสั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพของราคาทั้งระบบ ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่าผู้ถือสินทรัพย์จำนวนไม่น้อยอาจให้ความสำคัญกับ ‘การแปลงเงินสด’ มากกว่าการถือยาว

แม้ Pi Network จะเดินหน้าผลักดันการพัฒนาเชิงเทคนิคเพื่อสร้างระบบนิเวศที่มั่นคง แต่ภายใต้สถานการณ์ราคาดิ่งลงและแรงขายที่ทวีความรุนแรง การรับมือของทีมงานในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่น่าจับตาอย่างยิ่งในสายตานักลงทุนทั้งรายย่อยและรายใหญ่