ตลาดอัลท์คอยน์ฟื้นตัวรอบใหม่ นำโดยนักลงทุนสถาบัน—ไม่ใช่กระแสโซเชียลแบบเดิม

ตลาดอัลท์คอยน์กำลังส่งสัญญาณฟื้นตัวอีกครั้ง แต่รอบนี้ไม่เหมือนช่วงตลาดกระทิงในปี 2020 เพราะแรงขับเคลื่อนมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและเศรษฐกิจมหภาคมากกว่าการเก็งกำไร โดยรายงานล่าสุดจากบริษัทจัดหาสภาพคล่อง วินเทอร์มิวต์(Wintermute) ระบุว่า แนวโน้มขาขึ้นรอบนี้จะมีลักษณะ ‘คัดเลือกมากขึ้น สถาบันมากขึ้น และควบคุมมากขึ้น’—สะท้อนความเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของตลาดคริปโตในปัจจุบัน

หนึ่งในจุดที่น่าสนใจคือขณะที่ราคาบิตคอยน์(BTC) และ อีเธอเรียม(ETH) เพิ่มขึ้นเพียง 3% และ 4% ตามลำดับ แต่ โซลานา(SOL) พุ่งขึ้นเกือบ 10% สาเหตุถูกเชื่อมโยงกับการที่นักลงทุนเริ่มหันไปถือสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบการดูแลรักษาความปลอดภัย (custody) ที่ชัดเจนมากขึ้น การใช้งานของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์เพิ่มสูง และการเข้าซื้อของสถาบันที่มีความตั้งใจในระยะยาว

ในอดีต เคยเกิดสถานการณ์ที่มูลค่ารวมของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในอัลท์คอยน์แซงหน้าบิตคอยน์และอีเธอเรียมรวมกันได้ แต่ปัจจุบันนักลงทุนระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะก่อนการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินสหรัฐ(FOMC) ซึ่งสะท้อนว่าตลาดกำลังเปลี่ยนไปจาก ‘วิ่งตามเทรนด์’ เป็น ‘การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์’

วินเทอร์มิวต์ระบุว่าตลาดคริปโตในตอนนี้มีขนาดประมาณ 10 เท่าของเมื่อปี 2020 แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ ‘สภาพคล่อง’ ไม่ได้หลั่งไหลเข้าระบบแบบเดิมอีกแล้ว เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูง และอัตราการขยายตัวของ M2 ก็ไม่ได้พุ่งเหมือนยุค COVID-19 นั่นหมายความว่า การจะทำกำไรจากอัลท์คอยน์ในตลาดปัจจุบัน จำเป็นต้องมีเงินทุนจำนวนมากมากกว่าในอดีตหลายเท่าตัว

การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกข้อคือ ‘ใคร’ ที่เป็นผู้เล่นหลัก ตอนปี 2020 นักลงทุนนักเก็งกำไรรายย่อยเป็นกลุ่มขับเคลื่อนหลัก แต่ตอนนี้เป็นกลุ่ม *ลงทุนสถาบัน* ที่ถือธงนำหน้า ทั้งผ่าน ETF, การเก็บรักษาสินทรัพย์แบบเป็นทางการ รวมถึงการจัดสรรในพอร์ตการเงินขององค์กร รายงานระบุว่า 60-70% ของเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามาในตลาด มาจากฝั่งสถาบัน กลุ่มนี้มีข้อกำหนดด้านกฎระเบียบที่ชัดเจน และเลือกลงทุนเฉพาะสินทรัพย์หลักอย่างบิตคอยน์, อีเธอเรียม และโซลานา มากกว่าจะกระจายไปยังอัลท์คอยน์ขนาดเล็กแบบในอดีต

ขณะนี้ มูลค่าตลาดรวมของอัลท์คอยน์เพิ่มขึ้นราว 2 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เข้าใกล้ระดับสูงสุดที่เคยแตะไว้ในปี 2021 แต่ *ความเห็น* จากนักวิเคราะห์หลายฝ่ายคือ การเพิ่มขึ้นครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากกระแสบูมในโซเชียลหรือ ‘เหรียญมีม’ อีกต่อไป เพราะมันมีรากฐานจากการนำไปใช้จริงและการรับรองเชิงนโยบายผ่านทางกลไก ETF ในสหรัฐและยุโรป โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ไมกา(MiCA) ของอียูที่เพิ่งเริ่มมีผลบังคับใช้

ดังนั้น หากจะมี ‘อัลท์ซีซั่น’ ในรอบนี้ มันอาจไม่ได้มาพร้อมกับความบ้าคลั่งแบบเดิม เพราะวงเงินในตลาดวันนี้ใหญ่มาก และดอกเบี้ยก็ยังสูงเกินกว่าจะสร้าง *ฟองสบู่จากอารมณ์ชั่ววูบ* ได้ง่าย แนวโน้มคือ *เหรียญที่มีประโยชน์จริง* และ *โครงการที่มีโครงสร้างธุรกิจแข็งแรง* เท่านั้น ที่จะมีโอกาสอยู่รอดในตลาดคริปโตระลอกใหม่นี้