ตลาดของเหรียญสเตเบิลคอยน์กำลังเผชิญกับการถกเถียงอย่างดุเดือด ระหว่างฝั่งที่แสดงความกังวลว่าเหรียญเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย กับฝั่งที่เชื่อว่าความ ‘โปร่งใส’ และ ‘ไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้’ ของบล็อกเชนจะช่วยในด้านการตรวจสอบและติดตามธุรกรรมได้สะดวกขึ้น เมื่อไม่นานมานี้ มีรายงานบางฉบับระบุถึงการนำสเตเบิลคอยน์ไปใช้ในการโอนเงินผิดกฎหมาย ทำให้เกิดประเด็นร้อน อย่างไรก็ตาม ฝั่งที่สนับสนุนกลับมองว่า ธุรกรรมทั้งหมดบนบล็อกเชนเป็นข้อมูลสาธารณะที่ตรวจสอบได้ จึง ‘มีข้อได้เปรียบเหนือระบบการเงินแบบดั้งเดิมในการสืบสวนสอบสวน’
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า หากเหรียญสเตเบิลคอยน์กลายเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระดับโลก คุณสมบัติ ‘กึ่งโปร่งใส’ และ ‘การยืนยันข้อมูลโดยไม่เปลี่ยนแปลงได้’ ของบล็อกเชน จะสามารถใช้เพื่อ ‘เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน’ ได้เช่นกัน เท่ากับว่าควรเปลี่ยนมุมมองต่อเหรียญสเตเบิลคอยน์ จากแค่คริปโตทั่วไป ไปสู่บทบาทของ ‘โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแห่งอนาคต’
การชี้แจงแนวทางกำกับดูแลและการเพิ่มขึ้นของกรณีใช้งานจริง กำลังผลักดันให้ตลาดสเตเบิลคอยน์เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในด้านประสิทธิภาพในการโอนเงินและการลดต้นทุนเมื่อเทียบกับระบบธนาคารแบบเดิม ทำให้หลายประเทศเริ่มทยอยนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ปัจจุบันมูลค่ารวมของสเตเบิลคอยน์ที่อยู่ในการหมุนเวียนถูกประเมินว่าเกิน ‘2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ’ หรือประมาณ ‘278 ล้านล้านวอนเกาหลีใต้’ ซึ่งสะท้อนว่าเหรียญประเภทนี้กำลังกลายเป็นทรัพย์สินที่มี ‘ตำแหน่งเฉพาะในตลาด’ คล้ายกับบิตคอยน์(BTC) และอีเธอเรียม(ETH)
ทรัมป์ยังคงแสดงจุดยืนเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี โดยเน้นย้ำถึงหลักการที่ว่า ‘ผู้คนควรมีสิทธิควบคุมทรัพย์สินของตนเอง’ ซึ่งในแง่นี้ สัญญาณทางนโยบายของเขาช่วยเพิ่มแรงสนับสนุนให้กับระบบนิเวศของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการใช้งานจริง เช่น สเตเบิลคอยน์
ปัจจุบัน เหรียญสเตเบิลคอยน์ไม่ได้ถูกจำกัดให้ใช้แค่ในตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตอีกต่อไป แต่กำลังพัฒนาไปสู่ ‘ทางเลือกของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน’ อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระบบชำระเงินดิจิทัล, การโอนเงินข้ามประเทศ หรือการขยายโอกาสทางการเงิน การผลักดันให้เหรียญเหล่านี้เข้าสู่กรอบนโยบายอย่างรอบด้าน อาจช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ผิดกฎหมาย ด้วยเทคโนโลยีและแนวทางการกำกับดูแลที่ล้ำหน้ามากยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น 0