ไมโครสเตรทจี(MSTR) ซื้อบิตคอยน์(BTC) เพิ่มอีก 196 เหรียญ หนุนพอร์ตแตะ 640,031 BTC มูลค่าเฉียด 10 ล้านล้านบาท

ไมโครสเตรทจี(MSTR) เดินหน้าเข้าซื้อบิตคอยน์(BTC) อีกครั้ง โดยแม้ยอดซื้อรอบนี้จะไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงกลยุทธ์การลงทุนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอของบริษัทได้อย่างชัดเจน

ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) ซีอีโอของไมโครสเตรทจี เปิดเผยผ่านบัญชี X ของบริษัทว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ทำการซื้อบิตคอยน์จำนวน *196 BTC* เป็นมูลค่าประมาณ *27.39 ล้านดอลลาร์* หรือคิดเป็นเงินไทยราว *380 ล้านบาท* โดยเฉลี่ยราคาซื้อต่อหน่วยอยู่ที่ประมาณ *113,048 ดอลลาร์* หรือราว *15.7 ล้านบาท* ส่งผลให้จำนวนบิตคอยน์ที่บริษัทถือครองทั้งหมดเพิ่มเป็น *640,031 BTC*

จากการประกาศของบริษัท ณ ราคาปัจจุบัน บิตคอยน์ที่ถือครองอยู่มีมูลค่ารวมราว *71.7 พันล้านดอลลาร์* หรือประมาณ *9.9 ล้านล้านบาท* นั่นหมายความว่าไมโครสเตรทจีทำกำไรจากการประเมินมูลค่าเกิน *24.35 พันล้านดอลลาร์* หรือ *3.38 ล้านล้านบาท* เป็นผลให้บริษัทมีสัดส่วนถือครองบิตคอยน์มากถึง *3.2% ของอุปทานทั้งหมดในตลาด* ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทเอกชนที่ถือครองบิตคอยน์มากที่สุดในโลก

แม้ว่าการเข้าซื้อครั้งนี้ดูจะเป็นดีลเล็ก เมื่อเทียบกับการเข้าซื้อครั้งก่อนในสัปดาห์ที่แล้วที่บริษัทควักเงินกว่า *100 ล้านดอลลาร์* เพื่อซื้อ *850 BTC* หรือกรณีในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ที่ทำดีลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แต่ *กลยุทธ์แบบค่อยเป็นค่อยไปแต่ต่อเนื่องของบริษัทก็ยังคงดำเนินอยู่* และแสดงถึงความมุ่งมั่นในแนวคิดการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลระยะยาว

เซย์เลอร์เคยเปิดเผยความเชื่อที่แรงกล้าในบิตคอยน์ซึ่งเขามองว่าเป็น ‘ทองคำดิจิทัล’ และไมโครสเตรทจีก็ยังคงรักษาประเพณีที่น่าสนใจของบริษัทในการประกาศการซื้อ BTC ใหม่ทุกวันจันทร์มาอย่างต่อเนื่อง ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงสะท้อนถึง *ความตั้งใจในระยะยาวมากกว่าการเคลื่อนไหวตามราคาตลาดระยะสั้น* อย่างชัดเจน

ไมโครสเตรทจีได้กลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของการที่บริษัทเอกชนวางโครงสร้างพอร์ตสินทรัพย์ไว้ในคริปโต โดยเฉพาะบิตคอยน์ ความเคลื่อนไหวของบริษัทจึงถูกจับตามองจากสถาบันการเงินและนักลงทุนทั่วโลก และกำลังส่งผลต่อทิศทางของตลาดในอนาคตอย่างไม่น้อย

*ความคิดเห็น*: ไมโครสเตรทจีนับเป็นบริษัทที่กล้าหาญที่สุดในสายลงทุนคริปโต หากตลาดยังเป็นขาขึ้น การถือครองที่ยาวนานนี้ย่อมสร้างกำไรมหาศาล ขณะที่หากเกิดการพักฐาน กลยุทธ์ ‘เฉลี่ยต้นทุน (DCA)’ แบบนี้ก็ยังพอช่วยลดความเสี่ยงพื้นฐานได้