เครือข่ายเลเยอร์ 2 (L2) ของอีเธอเรียม(ETH) กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ ‘การทำงานร่วมกัน’ ที่ราบรื่นยิ่งขึ้น
ภายในปีนี้ ผู้ใช้จะสามารถทำ ‘ครอสเชนสวอป’ ระหว่าง L2 ได้อย่างง่ายดาย ใช้ที่อยู่กระเป๋าเงินแบบใหม่ที่อ่านง่ายขึ้น และส่งข้อความข้ามเชนผ่านแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ นอกจากนี้ ‘AggLayer’ ของโพลิกอน(POL) จะเป็นกุญแจสำคัญในการเชื่อมโยงสภาพคล่องของแต่ละเครือข่ายให้รวมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การอัปเกรดแรกกำลังจะเริ่มต้นภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยมีโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ‘เบส(Base)’ และ ‘อะครอส(Across)’ ร่วมพัฒนา ผู้พัฒนาภายในโปรเจ็กต์เหล่านี้คาดการณ์ว่า “อีเธอเรียมจะกลับมาเป็นระบบนิเวศที่เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง” ขณะเดียวกัน ฮาร์ต แลมเบอร์(Hart Lambur) ผู้ร่วมก่อตั้งของอะครอสกล่าวว่า “ความสามารถในการทำงานร่วมกันที่รวดเร็วและมีมาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่การพัฒนาเชิงเทคนิค แต่เป็นรากฐานของระบบนิเวศของอีเธอเรียม”
โค้ดของมาตรฐานใหม่ ‘Intent Standard (EIP-7683)’ ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยอะครอสและยูนิสวอป(UNI) ได้ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยเรียบร้อยแล้วและกำลังเตรียมเปิดใช้งาน นอกจากนี้ยังมีโปรเจ็กต์กว่า 50 รายการ รวมถึงโพลิกอน, อาร์บิทรัม(ARB), ออปติมิซึม(OP) และเบส ที่เตรียมนำมาตรฐานนี้ไปใช้
**การเปลี่ยนแปลงของ L2 ในปี 2025**
ในตลาดกระทิงครั้งล่าสุด อีเธอเรียมต้องเผชิญกับปัญหาค่าธรรมเนียมที่สูงลิ่ว โดยบางช่วงค่าธรรมเนียมก๊าซพุ่งขึ้นถึง 200 ดอลลาร์ต่อธุรกรรม จึงทำให้แนวคิด ‘L2 Rollup’ ได้รับความสนใจ เนื่องจากช่วยลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมลงเหลือในระดับเซ็นต์ (cent) อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของเครือข่าย L2 ถึง 55 แห่ง ทำให้เกิดปัญหาการแยกตัวออกจากกัน ส่งผลให้ผู้ใช้ต้องใช้บริดจ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพและมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
มาเลช ไพ(Mallesh Pai) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Consensys ระบุว่า ปัญหาสำคัญลำดับแรกคือ ‘การแลกเปลี่ยนโทเค็นระหว่างเครือข่าย L2’ โดยเขาให้ความเห็นว่า “การทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบอาจต้องใช้เวลา แต่การย้ายสินทรัพย์ข้าม L2 ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ต้องการ คาดว่าจะเป็นไปได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า”
ขณะที่ เจสซี พอลแล็ค(Jesse Pollak) นักพัฒนาหลักของเบส กล่าวว่า ‘มาตรฐาน ERC-7683’ และ ‘RIP-7755’ จะมีบทบาทสำคัญในการทำให้ธุรกรรมข้ามเชนเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดย RIP-7755 จะใช้เครือข่ายรีเลย์แบบออฟเชนเพื่อส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่เชนเป้าหมายได้อย่างไร้รอยต่อ
พอลแล็คระบุว่า “อีเธอเรียมจะเข้าสู่โครงสร้างที่รองรับการทำธุรกรรมแบบอะซิงโครนัส (asynchronous) ที่คล้ายกับอินเทอร์เน็ต” และเน้นย้ำว่า “อนาคตอันใกล้นี้ ผู้ใช้จะสามารถใช้กระเป๋าเงินเดียวกันกับทุกเชนได้โดยไม่มีปัญหา”
**โพลิกอน AggLayer กับแนวทางแก้ปัญหาอื่น ๆ**
โพลิกอนกำลังพัฒนา ‘AggLayer’ เพื่อเชื่อมต่อไม่เพียงแค่ L2 ของอีเธอเรียม แต่ยังรวมถึงบล็อกเชนของสัญญาอัจฉริยะทั้งหมดในอนาคต เบรนแดน ฟาร์มเมอร์(Brendan Farmer) ผู้ร่วมก่อตั้งของโพลิกอน เปรียบเทียบว่า AggLayer ทำหน้าที่คล้ายกับ ‘TCP/IP’ ของอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน
AggLayer ใช้อัลกอริธึมตรวจสอบแบบ Zero-Knowledge Proof (ZKP) ในรูปแบบ ‘Proof Pessimistic’ เพื่อให้การทำธุรกรรมข้ามเชนมีต้นทุนต่ำที่สุด โดยเวอร์ชัน v0.2 ของ AggLayer ได้เปิดตัวบนเมนเน็ตแล้ว และการใช้งานในระดับข้ามเชนจริงจะเริ่มต้นในเดือนหน้า
ขณะที่เครือข่ายที่ใช้ OP Stack กำลังหันมาใช้เทคโนโลยี Zero-Knowledge Proof มากขึ้น ทำให้ความร่วมมือระหว่างโพลิกอน AggLayer และออปติมิซึมมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง
อีเธอเรียมยังคงเดินหน้าพัฒนาโซลูชันที่สามารถรวมเชน L1 และ L2 ให้สามารถทำงานร่วมกันได้แบบ ‘ซิงโครนัส’ ซึ่งเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้แอปพลิเคชันทั้งหมดสามารถเชื่อมต่อกันได้แบบเรียลไทม์
นักวิเคราะห์มองว่าการพัฒนาด้านการทำงานร่วมกันนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอีเธอเรียมทั้งในแง่การขยายตัวของเครือข่ายและประสบการณ์ของผู้ใช้ที่จะได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น 🚀
ความคิดเห็น 0