NYDIG ชี้ 'โทเคนหุ้น' อาจเป็นกลไกสำคัญในอนาคต แม้ยังไม่สร้างรายได้ในระยะสั้น

นิวยอร์กดิจิทัลอินเวสต์เมนต์กรุ๊ป (NYDIG) เปิดเผยในรายงานฉบับล่าสุดว่า การแปลงหุ้นเป็นโทเคน (Tokenization) อาจยังไม่สร้างรายได้หรือประโยชน์ในระยะสั้นให้กับระบบนิเวศของคริปโตเคอร์เรนซีอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในระยะยาว ‘โทเคนหุ้น’ อาจกลายเป็นกลไกสำคัญเมื่อโครงข่ายบล็อกเชนมีความครอบคลุมและสามารถทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น

เกร็ก ชิปโปลาโร (Greg Cipolaro) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ NYDIG กล่าวว่า “ในช่วงเริ่มต้น โครงข่ายอย่างอีเธอเรียม(ETH) อาจเห็นผลกระทบน้อยมากจากหุ้นที่ผ่านกระบวนการโทเคน แต่เมื่อการเข้าถึง, การเชื่อมโยง และความสามารถในการนำชิ้นส่วนต่างๆ มาใช้งานร่วมกันดีขึ้น ผลประโยชน์ก็จะขยายตัวตาม” พร้อมทั้งชี้ว่า “รายได้หลักในช่วงแรกของโครงการลักษณะนี้จะเกิดจาก ‘ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม’ ขณะที่เครือข่ายที่รองรับสินทรัพย์โทเคนจะได้รับประโยชน์จาก ‘เอฟเฟกต์เครือข่าย (Network Effect)’ อย่างค่อยเป็นค่อยไป”

กระแสการแปลง ‘สินทรัพย์ในโลกแห่งความจริง’ (Real-World Asset หรือ RWA) ให้กลายเป็นโทเคนดิจิทัล กำลังกลายเป็นประเด็นสำคัญในวงการคริปโตฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามในการนำหุ้นสหรัฐฯ มาอยู่บนบล็อกเชน ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากตลาดหลักทรัพย์รายใหญ่หลายแห่ง โคอินเบสและคราเคน ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซื้อขายคริปโตระดับโลก ต่างก็มีผลงานความสำเร็จในตลาดต่างชาติ และกำลังมองหาโอกาสขยายบริการสู่ตลาดสหรัฐฯ

ในเวลาเดียวกัน กฎเกณฑ์ของสหรัฐฯ เองก็เริ่มแสดงสัญญาณเปลี่ยนแปลง โดย พอล แอตกินส์ ประธานคณะกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) กล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า “ระบบการเงินของสหรัฐฯ อาจพร้อมเปิดรับแนวคิดการโทเคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายในอนาคต

ชิปโปลาโรให้ความเห็นว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็น “สัญญาณว่าโทเคนจะกลายเป็นแนวโน้มสำคัญในระยะกลางถึงยาว” ทั้งนี้ แม้การบูรณาการระหว่างบล็อกเชนและระบบการเงินดั้งเดิมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่แนวโน้มด้านเทคโนโลยีและทิศทางการกำกับดูแลที่เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น กำลังเร่งให้ทั้งสองฝั่งผสานเข้าหากันเร็วขึ้น ซึ่งจะเร่งการเติบโตของเครือข่ายคริปโตและโอกาสในการใช้งานจริงให้ก้าวหน้าไปพร้อมกัน

*ความคิดเห็น:* หุ้นในรูปแบบโทเคนอาจไม่ส่งผลในทันที แต่เมื่อทุน, การยอมรับจากกฎหมาย และโครงสร้างพื้นฐานพัฒนาไปพร้อมกัน เครือข่ายบล็อกเชนที่เปิดรับนวัตกรรมนี้ก่อนย่อมมีโอกาสได้เปรียบในอนาคต