เม็กซิเบนเจอร์ส(MEXC Ventures) บริษัทด้านการลงทุนร่วมทุน เปิดเผยผ่านรายงานล่าสุดว่า ข้อเสนอการ *โทเคนไนซ์หุ้น* ของตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก(Nasdaq) ไม่ใช่เพียงการทดลองทางเทคโนโลยี แต่เป็น ‘การพัฒนาเชิงโครงสร้าง’ ครั้งสำคัญของตลาดการเงินสหรัฐฯ โดยข้อเสนอดังกล่าวได้ถูกยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ซึ่งหากได้รับการอนุมัติ จะกลายเป็นครั้งแรกที่เทคโนโลยีบล็อกเชนถูกผสานเข้ากับระบบการซื้อขายหุ้นแบบดั้งเดิมอย่างเป็นทางการ
หุ้นที่ผ่านกระบวนการโทเคนไนซ์ หรือ *โทเคนหุ้น* ถือเป็นรูปแบบใหม่ของการบริหารจัดการสินทรัพย์ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนในยุคที่สินทรัพย์ดิจิทัลและสภาพแวดล้อมการซื้อขายแบบ 24 ชั่วโมงไร้จุดหยุดกำลังเติบโต แนสแด็กเสนอว่าการแปลงหุ้นเป็นโทเคนจะช่วยแก้ไขข้อจำกัดของระบบเคลียริ่งที่ล่าช้าและต้องใช้ตัวกลางจำนวนมาก เม็กซิเบนเจอร์สมองว่าข้อเสนอนี้เป็นกลยุทธ์เชิงระบบที่มุ่งสร้างการทำงานแบบขนานและพัฒนาระบบให้เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงการปรับปรุงโครงสร้างเดิม
ข้อเสนอนี้ประกอบด้วยหลักการสำคัญ 4 ประการ ประการแรก โทเคนมีมูลค่าผูกกับหุ้นจริงแบบ 1:1 และยังอยู่ภายใต้กฎระเบียบเดิม โดยมีสิทธิและหมายเลข CUSIP เท่ากับหุ้นทั่วไป ประการที่สอง เทคโนโลยีบล็อกเชนทำหน้าที่เพียงเป็น ‘ระบบบันทึก’ แต่ผู้ถือโทเคนยังคงมีสิทธิเหมือนผู้ถือหุ้นแท้จริง ประการที่สาม ระบบใหม่นี้จะยังคงอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายหลักทรัพย์ของสหรัฐ ไม่ใช่การเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) และสุดท้าย นี่คือการปฏิรูประบบ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสินทรัพย์
การทำงานของระบบใหม่ผสานทั้งแบบดั้งเดิมกับนวัตกรรม โดยจะใช้ *บล็อกเชนแบบมีสิทธิ์* แทนที่จะเป็นบล็อกเชนสาธารณะ และหุ้นจริงจะถูกเก็บรักษาโดยผู้ดูแลสินทรัพย์ที่ได้รับอนุญาต ระบบการจับคู่คำสั่งซื้อขายยังดำเนินการโดยแนสแด็กเช่นเดิม แต่การโอนกรรมสิทธิ์และการชำระเงินจะดำเนินการแบบ *เรียลไทม์* ผ่านบล็อกเชน ทำให้ร่นระยะเวลาการชำระบัญชีจาก T+1 หรือ T+2 เหลือแค่ไม่กี่วินาที เม็กซิเบนเจอร์สระบุว่านี่คือความพยายามในการเพิ่ม *ประสิทธิภาพเชิงโครงสร้าง* ของอุตสาหกรรมการเงิน
โทเคนหุ้นยังมีจุดเด่นอื่น เช่น ความเร็วของระบบ ความสามารถในการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ การลงทุนแบบเป็นเศษส่วน และการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง โดยโครงสร้างข้อมูลที่กันปลอมแปลงของบล็อกเชนช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการกำกับดูแล ขณะเดียวกัน เม็กซิเบนเจอร์สเชื่อว่า หากสหรัฐฯ ต้องการรักษาความเป็นผู้นำด้านฟินเทคไว้ การพัฒนา *การโทเคนไนซ์สินทรัพย์ตามมาตรฐานสากล* จำเป็นต้องมีความรวดเร็วเพื่อป้องกันการสูญเสียโอกาสในยุคดิจิทัล
อย่างไรก็ดี ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีนี้ยังมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา เช่น ความปลอดภัยของคีย์ส่วนตัว การแยกสภาพคล่องระหว่างตลาดแบบดั้งเดิมกับตลาดโทเคน นิยามทางกฎหมายระหว่างสินทรัพย์จริงกับโทเคน และข้อจำกัดของบล็อกเชนในการรองรับธุรกรรมขนาดใหญ่ โดยแนสแด็กต้องจัดการกับปริมาณข้อมูลนับพันล้านข้อความต่อวัน ทำให้ ‘ศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐาน’ กลายเป็นจุดสำคัญที่ต้องทดสอบ
หากข้อเสนอนี้ได้รับอนุมัติ ผลกระทบจะไม่จำกัดเพียงแค่แนสแด็กเท่านั้น แต่ยังอาจกระตุ้นให้ผู้จัดการกองทุน ETF, สถาบันการลงทุนรายใหญ่ หรือแม้แต่คู่แข่งอย่างตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก(NYSE) ต้องปรับตัว โดยผู้เชี่ยวชาญคาดว่า หุ้นบลูชิพบางกลุ่มหรือ ETF อาจเริ่มเข้าสู่ระบบนี้ในช่วงปี 2026–2027
ท้ายที่สุด เม็กซิเบนเจอร์สมองว่าข้อเสนอนี้คือ *การประกาศจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านระบบตลาดทุนของสหรัฐฯ* ไปสู่แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลโดยอาศัยพื้นฐานของบล็อกเชน และหากสำเร็จจะเป็นก้าวสำคัญในการ ‘ทำลายเส้นแบ่ง’ ระหว่างตลาดดั้งเดิมกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจกลายเป็นรากฐานของระบบการเงินแห่งอนาคต และถือเป็น *เหตุการณ์ประวัติศาสตร์* ที่ไปไกลเกินกว่าการใช้งานเทคโนโลยีทั่วไป ความคิดเห็น: การเคลื่อนไหวนี้พร้อมพลิกโฉมโฉมหน้าวงการการเงินโลกทั้งระบบ
ความคิดเห็น 0