แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกอย่างคริปโตดอทคอม(Crypto.com) เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า แนวโน้มการถือครอง *บิตคอยน์(BTC)* และ *อีเธอเรียม(ETH)* เป็น ‘สินทรัพย์สำรองของประเทศ’ กำลังขยายตัวเร็วยิ่งขึ้น พร้อมชี้ว่านี่อาจเป็นโมเดลใหม่ของการจัดการทุนสำรอง ที่สามารถส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและเพิ่มความเป็นอิสระทางการเงินในระดับประเทศ
กลยุทธ์นี้ไม่ได้จำกัดแค่สินทรัพย์แบบดั้งเดิมอย่างทองคำหรือดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังรวม ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ ไว้ในการกระจายพอร์ตการลงทุนเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ โดยคุณสมบัติความโปร่งใสและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ของบล็อกเชนยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศอีกด้วย ประเทศที่ใช้กลยุทธ์นี้แล้ว ได้แก่ เอลซัลวาดอร์, ภูฏาน และสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มดังกล่าว
จากข้อมูลของคริปโตดอทคอม รายงานว่า เอลซัลวาดอร์ถือครอง *บิตคอยน์* อยู่ที่ประมาณ 6,111 BTC และกำลังใช้นโยบายบิตคอยน์เป็นแนวทางแก้ปัญหาเสถียรภาพของเงินตราภายในประเทศ ส่วนภูฏานเลือกขุดบิตคอยน์ด้วยพลังงานน้ำภายในประเทศเอง จนสามารถสะสมได้ถึง 12,206 BTC ขณะที่สหรัฐฯ ได้เริ่มสร้างคลังสำรองสินทรัพย์ดิจิทัลตามคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ในปี 2025 โดยรวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้มาจากการยึดทรัพย์อย่างถูกกฎหมาย
*การกระจายความเสี่ยง* และ *การป้องกันเงินเฟ้อ* เป็นสองประเด็นหลักที่รายงานนี้เน้นย้ำ โดยเฉพาะการที่บิตคอยน์มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ ทำให้มันถูกมองว่าเป็นทางเลือกในการรักษามูลค่าในยุคที่เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ยังช่วยให้ประเทศหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจจากภายนอก
การผนวกสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าสู่ทุนสำรองของประเทศจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ทั้งในระดับความปลอดภัยและการกำกับดูแล โดยหลายประเทศใช้กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์แบบออฟไลน์และระบบอนุมัติหลายขั้นตอนเพื่อรักษาความปลอดภัย พร้อมให้มีการตรวจสอบและรายงานสาธารณะ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและนานาอารยประเทศ ขณะเดียวกันยังเพิ่ม ‘ความยืดหยุ่นทางนโยบาย’ ให้กับรัฐบาล
รายงานของคริปโตดอทคอมยังระบุอีกว่า แนวทางนี้กำลังเคลื่อนตัวจาก ‘การทดลอง’ ไปสู่ ‘มาตรฐานใหม่’ ของเศรษฐกิจโลก โดยมีบล็อกเชนและแนวคิดการเงินแบบกระจายอำนาจเป็นพื้นฐาน หากเทรนด์นี้ยังเดินหน้าต่อไป ก็อาจกลายเป็นเสานโยบายสำคัญที่ช่วยยกระดับ *อิสรภาพทางการเงิน* ของแต่ละประเทศได้ในระยะยาว
สรุปแล้ว กลยุทธ์ ‘ทุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัล’ ไม่ใช่แค่การถือเหรียญดิจิทัลไว้เฉยๆ แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมถึงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ, เพิ่มความโปร่งใสในระดับประชาธิปไตย และขับเคลื่อนเป้าหมาย ‘อธิปไตยทางการเงิน’ ให้เป็นจริงมากยิ่งขึ้น คริปโตดอทคอมจึงประเมินว่า การรวมสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ากับระบบทุนสำรองของประเทศ อาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางนโยบายการเงินโลกในอนาคต และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบการเงินระหว่างประเทศในระยะยาวอีกด้วย
ความคิดเห็น 0