บิตเทนเซอร์(Bittensor) เตรียมเข้าสู่การ ‘ลดจำนวนเหรียญที่ปล่อยออกสู่ตลาดครั้งแรก’ หรือ *halving* ในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของราคาโทเคน TAO ตามการวิเคราะห์ล่าสุดจาก อาเลอา รีเสิร์ช(Alea Research) โดยมองว่า ความเคลื่อนไหวที่สำคัญนี้ ผนวกกับการเข้ามาของนักลงทุนสถาบันและความแข็งแกร่งในเชิงเทคนิค กำลังทำให้ TAO กลายเป็นหนึ่งในโอกาสลงทุนที่หายากในตลาดคริปโต
จากรายงานของอาเลอา รีเสิร์ช TAO เข้าข่ายเป็นการลงทุนในแบบ ‘Momentum Trade’ ที่มีสภาวะเอื้ออำนวยอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการทะลุแนวต้านของราคา แรงส่งจากปัจจัยภายนอกหลายชุด และพื้นฐานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะยาว ทั้งยังเน้นว่าไตรมาส 4 ปี 2025 จะเป็นช่วงที่เครือข่าย TAO แสดงความแข็งแกร่งเทียบกับสินทรัพย์อื่นในตลาดมากขึ้น
หนึ่งในปัจจัยหนุนสำคัญคือ ‘*การลดจำนวนเหรียญครึ่งหนึ่ง (halving)*’ เมื่อการปล่อยเหรียญถึง 10.5 ล้านเหรียญแล้ว จำนวน TAO ที่ผลิตต่อวันจะลดจาก 7,200 เหรียญเหลือเพียง 3,600 เหรียญ นี่แม้จะเป็นข้อมูลที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว แต่ในทางสัญลักษณ์แล้วถือเป็นครั้งแรกของ TAO ในการลดจำนวนเหรียญอย่างถาวร ส่งผลต่อโครงสร้างของอุปทาน และหากสอดคล้องกับช่วงที่มีเงินทุนไหลเข้าพอดี อาจเกิดสภาวะ ‘อุปทานน้อยลง-ความต้องการมากขึ้น’ ได้ ความคิดเห็น: นี่คือสูตรพื้นฐานที่สามารถจุดกระแสราคาให้กับคริปโตได้อย่างมีนัย
อีกปัจจัยสำคัญคือการเข้ามาของเงินสถาบัน โดยทาง *เกรย์สเกล (Grayscale)* ได้ยื่นเอกสาร Form 10 กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) สำหรับจัดตั้ง Bittensor Trust ทันทีหลังตลาดร่วงหนักเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำถึงจังหวะและวิสัยทัศน์ของนักลงทุนสถาบัน จากข้อมูลของอาเลอา รีเสิร์ช ปัจจุบัน TAO เป็นสินทรัพย์สัดส่วนสูงสุดในกองทุน AI แบบกระจายอำนาจของเกรย์สเกล คิดเป็น 33% ของ AUM
ความน่าสนใจยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อ *แบร์รี ซิลเบิร์ต (Barry Silbert)* นักลงทุนชื่อดังและผู้ก่อตั้งกลุ่มดิจิทัลเคอร์เรนซีกรุ๊ป (Digital Currency Group) ออกมาสนับสนุน TAO อย่างเปิดเผยในระดับที่สามารถเปรียบได้กับบทบาทของ *ไมเคิล เซย์เลอร์ กับบิตคอยน์(BTC)* หรือ *ทอม ลี กับอีเธอเรียม(ETH)* ซึ่งมีผลโดยตรงกับความเชื่อมั่นของตลาดและการรับรู้ในกลุ่มนักลงทุนสถาบัน
TAO ยังมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร คือไม่มีการจัด ICO หรือรอบระดมทุนล่วงหน้า (Private Round) เหมือนกับโปรเจกต์อื่น ๆ แต่เลือกจะแจกเหรียญผ่านวิธี ‘ขุดอย่างเดียว’ ซึ่งทำให้ถูกมองว่าเป็นการกระจายเหรียญอย่างเท่าเทียม ความคิดเห็น: นี่คือจุดขายที่โดนใจนักลงทุนสายเทคสายอุดมการณ์
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบ *Subnet* ของ Bittensor กำหนดให้มีการเผา TAO ทุกรอบการสร้างเครือข่ายใหม่ จนขณะนี้มี Subnet แล้วมากกว่า 100 รายที่ทำงานร่วมกันภายใต้ระบบนิเวศเดียวกัน สร้างมูลค่าหมุนเวียนกลับเข้าสู่ระบบ
สิ่งที่ทำให้ TAO แตกต่างอย่างแท้จริงคือการที่มันไม่ใช่แค่โทเคนธรรมดา แต่เป็นเหรียญกลางที่สนับสนุนโครงสร้าง *AI แบบกระจายอำนาจ* โดยไม่จำกัดอยู่แค่การซื้อขายเทรดดิ้งทั่วไป แต่ยังสนับสนุน AI ในด้านการแปลภาษา การรู้จำภาพ การพับโปรตีน ไปจนถึงการคาดการณ์ด้านการเงิน กล่าวคือ TAO กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของ *AI ดิจิทัลแบบกระจายศูนย์*
จากการวิเคราะห์ของอาเลอา รีเสิร์ช พบว่า TAO มีลักษณะของ *Lead Law Model* หรือ ‘โมเดลการเติบโตแบบทบต้นตามการใช้เครือข่าย’ หมายความว่ายิ่งมีคนใช้งานมากเท่าใด มูลค่าของเครือข่ายจะโตแบบทวีคูณมากเท่านั้น
ล่าสุดมีผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ ๆ ที่เกิดจาก TAO มากขึ้น เช่น โครงการ TAO Synergies ที่ร่วมกับ Digital Currency Group ในการเปิดตัวกองทุน TAOX Trust เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดแนสแดก ขณะที่สถาบันในยุโรปอย่าง Sapelo AB และ Norwegian Block Exchange (NBX) ก็เริ่มนำ TAO ขึ้นบัญชีสินทรัพย์โดยตรง ส่วน Connecticut Innovations ก็เข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ผ่าน Uhma Asset Management
อาเลอา รีเสิร์ชมองว่าสิ่งที่ทำให้ TAO ยิ่งแข็งแกร่งคือ ‘วัฒนธรรมผสานระหว่างคอมมูนิตี้คริปโตกับนักลงทุนเทคโนโลยีสายลึก’ โดยที่กลุ่มนักพัฒนาเป็นฝ่ายขับเคลื่อนโปรเจกต์ ในขณะที่บริษัท VC แบบ *Tech-centric* ก็ให้การสนับสนุนแบบหนุนหลัง ทำให้เกิด *จุดตัดที่น่าจับตาระหว่าง AI และคริปโต*
สรุปแล้ว ปัจจัยทั้งด้านเทคนิค ความเชื่อมั่นจากสถาบัน ชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอุปทาน กำลังทำให้ TAO กลายเป็นโครงการที่โดดเด่นอย่างมาก โดยอาเลอา รีเสิร์ช ย้ำว่า การปรับตัวขึ้นของ TAO ในรอบนี้ อาจไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่คือจุดเริ่มต้นของ ‘โครงสร้างแบบใหม่’ ที่ TAO เป็นผู้นำ.
ความคิดเห็น 0