เม็กซี่เวนเจอร์สเปิดเผยว่า เจพีมอร์แกนเชส(JPMorgan Chase) กำลังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์เงินกู้ดอลลาร์ที่ใช้ *บิตคอยน์(BTC)* และ *อีเธอเรียม(ETH)* เป็นหลักประกัน ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ธนาคารขนาดใหญ่ในตลาดการเงินดั้งเดิมนำสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามาใช้เป็นหลักประกันอย่างเป็นทางการ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการบูรณาการระหว่างระบบการเงินดั้งเดิมและตลาดคริปโตอย่างเป็นระบบ โดยโปรเจกต์นี้เกิดขึ้นภายหลังจากการทดลองใช้งาน ETF จากแบล็คร็อก ในนาม iShares Bitcoin Trust(IBIT) ได้สำเร็จ
เจพีมอร์แกนมีเป้าหมายเปิดตัวภายในปีนี้ โดยลูกค้าเป้าหมายได้แก่สถาบันการเงินต่าง ๆ เฮดจ์ฟันด์ และสำนักงานลงทุนครอบครัว ซึ่งสามารถนำบิตคอยน์หรืออีเธอเรียมมาให้กับผู้รับฝากสินทรัพย์ที่ได้รับการกำกับดูแล เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการขอวงเงินสินเชื่อดอลลาร์ โดยสัดส่วนการยอมรับหลักประกันอยู่ในช่วง 50-70% ขึ้นอยู่กับความผันผวนและการประเมินความเสี่ยงภายใน ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับการใช้หุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันในสินเชื่อทั่วไป *ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือการเปลี่ยนสินทรัพย์ค้ำประกันมาเป็นคริปโต*
เม็กซี่เวนเจอร์สมองว่า การตัดสินใจของเจพีมอร์แกนครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการ *ยอมรับบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์จริง* อย่างเป็นรูปธรรม เพราะการที่ธนาคารจะยอมรับสินทรัพย์ใดเป็นหลักประกันได้นั้น จะต้องผ่านเกณฑ์ด้านสภาพคล่อง ความเสถียร และความสามารถในการรักษามูลค่า สิ่งนี้จึงอาจตีความได้ว่าเป็นผลจากการประเมินภายในที่มองว่าบิตคอยน์เริ่มมีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับระบบการเงินแบบดั้งเดิม จุดนี้ยิ่งน่าสนใจเพราะซีอีโอของเจพีมอร์แกน เจมี ไดมอน(Jamie Dimon) เคยออกมาโจมตีบิตคอยน์ว่าเป็น "การหลอกลวง" มาก่อน
สำหรับนักลงทุนสถาบัน การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยเพิ่ม *ประสิทธิภาพด้านเงินทุน* อย่างมีนัยสำคัญ เพราะไม่ต้องขายบิตคอยน์เพื่อเพิ่มสภาพคล่องอีกต่อไป นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถถือสินทรัพย์ในระยะยาวควบคู่ไปกับการใช้เงินในช่วงเวลาสั้นได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างการจัดพอร์ตลงทุนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ความต้องการในโครงสร้างพื้นฐานการรับฝากสินทรัพย์สำหรับคริปโตอย่าง Coinbase Custody, Fidelity Digital Assets และแบล็คร็อก ก็มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย
ด้าน ETF ของแบล็คร็อกภายใต้ชื่อ IBIT ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์หลักของโครงการนี้ ก็มีบทบาทสำคัญในระยะแรก โดยเจพีมอร์แกนเลือกใช้ ETF เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการถือครองคริปโตโดยตรง ทั้งด้านกฎระเบียบ การตรวจสอบ และความผันผวน *ความคิดเห็น* จากเม็กซี่เวนเจอร์สมองว่ากลยุทธ์นี้อาจเป็นก้าวแรกก่อนขยายไปสู่รูปแบบที่ถือครองเหรียญจริงในอนาคต
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังอาจเปลี่ยนทิศทางตลาดโดยรวม เพราะการเปิดทางให้สถาบันสามารถใช้บิตคอยน์ที่ถืออยู่มาเพิ่มสภาพคล่องจะช่วยลด *แรงขาย* ในตลาดได้ ขณะเดียวกันก็อาจกระตุ้นให้มีการเข้าซื้อเพิ่มขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักประกัน แต่อย่างไรก็ตาม หากมูลค่าคริปโตลดลงจนต่ำกว่ามาตรฐานหลักประกัน ก็อาจเกิด *การบังคับขาย* ซึ่งจะเพิ่มความเปราะบางของตลาด ดังนั้นหากคริปโตถูกนำมาใช้ในโครงสร้างสินเชื่อของระบบการเงินดั้งเดิมมากขึ้น สินทรัพย์เหล่านี้ก็มีแนวโน้มจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่อ่อนไหวต่อวัฏจักรเศรษฐกิจมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังจับตาการตอบสนองของธนาคารรายใหญ่อื่น ๆ เช่น Bank of America, Citigroup และ Goldman Sachs ที่อาจพัฒนาโครงการลักษณะเดียวกันเพื่อตอบสนองตลาดใหม่ การเข้ามาของธนาคารแบบดั้งเดิมยังอาจสร้างการแข่งขันใหม่กับแพลตฟอร์มสินเชื่อในโลก *ดีไฟ* ที่เน้นระบบไร้ศูนย์กลาง เพราะธนาคารจะดำเนินการภายใต้กรอบที่ปลอดภัยและมีการกำกับดูแลชัดเจนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับนี้ยังเน้นว่าในช่วงเริ่มต้น สินทรัพย์หลักประกันยังจำกัดอยู่แค่ BTC และ ETH ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยด้านสภาพคล่อง ความชัดเจนด้านกฎระเบียบ และการประเมินความเสี่ยง แต่เมื่อโครงสร้างพื้นฐานการเงินยอมรับคริปโตมากขึ้น ก็อาจมีการเปิดกว้างไปยังสินทรัพย์อื่นในอนาคต เม็กซี่เวนเจอร์สสรุปว่าการหลอมรวมระหว่างการเงินดั้งเดิมกับตลาดคริปโตมีแนวโน้มชัดเจนและจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นโดยเฉพาะในรูปแบบการใช้คริปโตเป็นหลักประกัน นักลงทุนควรให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโอกาสและความเสี่ยงในอนาคต
ความคิดเห็น 0