ราคาของบิตคอยน์(BTC) ร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยมีการวิเคราะห์ว่าสาเหตุหลักมาจากกลยุทธ์ ‘Cash and Carry Trade’ ของนักลงทุนสถาบันที่พังทลายลง
เมื่อวันที่ 20 (เวลาท้องถิ่น) นักวิเคราะห์คริปโตอย่างไคล์ เชส(Kyle Chasse) ได้โพสต์บน X (เดิมคือ Twitter) อธิบายว่า "กองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้ใช้กลยุทธ์เก็งกำไรระหว่างบิตคอยน์ ETF สปอตและฟิวเจอร์สของ CME เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มีความเสี่ยงต่ำมาหลายเดือน" อย่างไรก็ตาม เมื่อส่วนต่างของราคาฟิวเจอร์สบิตคอยน์ลดลงอย่างมาก ทำให้กลยุทธ์ดังกล่าวไม่สามารถใช้ทำกำไรได้อีก ส่งผลให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์เริ่มเทขายและเร่งให้ราคาบิตคอยน์ตกลงอย่างรวดเร็ว
โดยปกติแล้ว กลยุทธ์นี้สามารถสร้างผลตอบแทนประมาณ 5.68% ต่อปีด้วยความเสี่ยงที่ต่ำ แต่เมื่อล่าสุดราคาฟิวเจอร์สไม่สามารถรักษาพรีเมียมเหนือราคาสปอตได้อีกต่อไป จึงทำให้ผลตอบแทนไม่สามารถคาดหวังได้อีก ในขณะเดียวกัน กองทุน ETF บิตคอยน์ของสหรัฐฯ กลับมีการไหลออกของเงินทุนในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ เพิ่มแรงกดดันด้านการขายในตลาดมากขึ้น ไคล์ เชสระบุ
เขายังชี้ให้เห็นว่าแต่เดิมกลยุทธ์นี้ช่วยพยุงราคาบิตคอยน์ให้มีเสถียรภาพ แต่มาตอนนี้กลับกลายเป็นปัจจัยที่เร่งให้ราคาตกลงมากกว่าเดิม และเสริมว่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์ไม่ได้เดิมพันให้บิตคอยน์ราคาพุ่งขึ้น แต่เป็นเพียงการแสวงหาผลตอบแทนระยะสั้นที่มีความเสี่ยงต่ำเท่านั้น จึงไม่ได้มีมุมมองการลงทุนในระยะยาว
การวิเคราะห์ข้อมูลออนเชนเผยให้เห็นว่านักลงทุนรายใหม่ หรือที่มักถูกเรียกว่า "นักท่องเที่ยวบิตคอยน์" เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน Glassnode รายงานว่า นักลงทุนที่เข้าซื้อบิตคอยน์ภายในช่วงเดือนที่ผ่านมามีส่วนแบ่งในมูลค่าการขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงถึง 74%
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์บางรายมองว่าการร่วงลงครั้งนี้ทำให้เกิดภาวะขาดทุนที่ยังไม่รับรู้ในระดับที่สูงกว่าช่วงตลาดล่มจากกรณี FTX ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการสร้างจุดต่ำสุดใหม่ นักวิเคราะห์ Milkybull Crypto ระบุว่า "ในอดีต การร่วงลงในลักษณะนี้มักเปิดทางไปสู่การดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรง"
ขณะนี้ ความสนใจของตลาดกำลังจับจ้องว่า บิตคอยน์จะสามารถฟื้นตัวจากแรงกดดันของการปิดสถานะกลยุทธ์ของกองทุนเฮดจ์ฟันด์และกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้งได้หรือไม่
ความคิดเห็น 0