สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) ภายใต้การนำของประธานคนใหม่ พอล แอตกินส์ กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อวันที่ 20 แอตกินส์ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกต่อหน้าสภาคองเกรส และถูกซักถามอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับการจัดการคดีฉ้อโกงคริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะกรณีของจัสติน ซัน พร้อมข้อกังขาเรื่องอิทธิพลทางการเมืองจากเหรียญมีมที่เกี่ยวข้องกับประธานาธิบดีทรัมป์
ในการประชุมของคณะกรรมาธิการการจัดสรรงบประมาณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกล็น ไอวี่ ได้ตั้งคำถามต่อ SEC ว่าทำไมคดีของจัสติน ซันจึงล่าช้า ทั้งนี้เป็นเพราะช่วงหลัง ซันถูกเปิดเผยว่าเป็นผู้ถือเหรียญมีมที่มีความเชื่อมโยงกับทรัมป์จำนวนมาก โดยโครงการทรอน(TRX) ของเขายังได้ซื้อโทเคนจากบริษัทสายเหรียญทรัมป์อย่างเวิลด์ ลิเบอร์ตี ไฟแนนเชียล เป็นมูลค่าสูงถึง 30 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม แอตกินส์ระบุเพียงว่าสำนวนคดียังอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งยิ่งเพิ่มความสงสัยว่า SEC อาจกำลังเผชิญแรงกดดันทั้งภายในและภายนอก
การเข้ารับตำแหน่งของแอตกินส์ ถูกมองว่าเป็น ‘โอกาสใหม่’ หลังยุคของไบเดนและแกรี เกนส์เลอร์(Gary Gensler) ที่ถูกวิจารณ์ว่ามีแนวนโยบายคริปโตที่คับแคบ โดยแอตกินส์ได้กล่าวระหว่างการให้การต่อสภาว่า สหรัฐจำเป็นต้องมี ‘แนวทางชัดเจน’ สำหรับการออก, การดูแลรักษา และการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งสะท้อนว่า SEC อาจกำลังเปลี่ยนแนวทางจาก “มุ่งเน้นการฟ้องร้อง” มาสู่ “การกำหนดนโยบาย”
ขณะเดียวกัน หน่วยงานเฉพาะกิจด้านคริปโตของ SEC ยังคงอยู่ภายใต้การนำของเฮสเตอร์ เพียร์ซ(Hester Peirce) และคาดว่าจะมีรายงานฉบับแรกออกภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า แม้แอตกินส์จะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเรื่องการจัดสรรทรัพยากรให้กับฝ่ายนี้ แต่เขายืนยันชัดว่ากำลังพัฒนาแนวทางกำกับดูแลที่ ‘ใช้งานได้จริง’
อีกด้านหนึ่ง วุฒิสภาสหรัฐเพิ่งผ่านร่างกฎหมายเกี่ยวกับสเตเบิลคอยน์อย่าง ‘Genius Act’ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญสำหรับนโยบายคริปโตที่มีเอกภาพมากขึ้น
เมื่อความเคลื่อนไหวของคนดัง, เหรียญมีม และผลประโยชน์ทางการเมืองมาบรรจบกัน ตลาดคริปโตในสหรัฐกำลังจับตา SEC ยุคแอตกินส์ว่าจะวางทิศทางการกำกับดูแลอย่างไร ท่ามกลางการเลือกตั้งปี 2024 ที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น 0