เวิลด์(World) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานของเวิลด์คอยน์(Worldcoin) ได้ระดมทุนเพิ่มอีก 135 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,971 ล้านบาท เพื่อขยายเครือข่ายระบบยืนยันตัวตนดิจิทัลในสหรัฐฯ และตลาดต่างประเทศ โดยการระดมทุนรอบนี้นำโดยบริษัทลงทุนชั้นนำอย่างแอนดรีเซน ฮอโรวิทซ์(a16z) และเบน แคปิทัล คริปโต
บริษัทระบุว่าทุนที่ได้รับจะถูกนำไปใช้สำหรับติดตั้งอุปกรณ์สแกนม่านตา หรือที่เรียกว่า *Orb* ในสหรัฐฯ และขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการยืนยันตัวตนเพิ่มเติม ปัจจุบันเวิลด์ได้เริ่มดำเนินงานใน 6 เมืองหลัก เช่น ลอสแอนเจลิส ซานฟรานซิสโก และนิวยอร์ก ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา และเตรียมเดินหน้าขยายให้ครอบคลุมระดับโลกในระยะถัดไปจากการสนับสนุนทางการเงินในครั้งนี้
ขณะนี้มีผู้ใช้งานกว่า 12.5 ล้านคนจากมากกว่า 160 ประเทศที่ลงทะเบียนขอรับ ‘เวิลด์ ID’ แล้ว โดยระบบของเวิลด์คอยน์มีเป้าหมายในการสร้างโครงข่ายยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวมิติ ผ่านการสแกนม่านตา เพื่อยืนยันว่าเป็น “มนุษย์จริง”
อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องในประเด็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะการให้เงินดิจิทัลตอบแทนการให้ข้อมูลชีวมิติโดยสมัครใจ ซึ่งถูกมองว่า "ละเมิดหลักการการยินยอมล่วงหน้า" นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังแสดงความกังวลว่าระบบยืนยันตัวตนดิจิทัลแบบรวมศูนย์ อาจเป็นภัยต่อสิทธิส่วนบุคคลและสิทธิมนุษยชน
ปัจจุบันมีบางประเทศที่ได้สั่งห้ามการดำเนินงานของเวิลด์คอยน์แล้ว หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนข้อบังคับ อย่างไรก็ตาม เวิลด์ยังยึดมั่นว่าสถาปัตยกรรมการยืนยันตัวตนบนบล็อกเชนที่ใช้การยืนยันชีวมิติจะกลายเป็นรากฐานของสังคมดิจิทัลในอนาคต
แซม อัลท์แมน(Sam Altman) นักลงทุนรายแรกและหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง กล่าวไว้ว่า “ในยุคของปัญญาประดิษฐ์ เราจำเป็นต้องมีวิธีพิสูจน์ว่าคุณเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง” จากมุมมองนี้ เวิลด์คอยน์จึงเชื่อมั่นว่ากำลังเดินหน้าสู่หนึ่งในเสาหลักของโลกดิจิทัลในวันข้างหน้า
ความคิดเห็น 0