ข่าว 
ข้อมูลเหรียญ 
แนะนำสื่อ 
ฟิกมา(Figma) แพลตฟอร์มออกแบบชื่อดังจากสหรัฐฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(SEC) สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดเผยว่า บริษัทถือกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์(BTC) มูลค่ากว่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 973 ล้านบาท) รวมถึงเงินดิจิทัล USD Coin (USDC) มูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 417 ล้านบาท) โดยบริษัทระบุว่าเงินทุนเหล่านี้จะนำไปใช้ในการซื้อบิตคอยน์เพิ่มเติมในอนาคต
ฟิกมาถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดยนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และดีไซเนอร์ ด้วยเครื่องมือออกแบบอินเทอร์เฟซบนคลาวด์ ช่วยให้สามารถสร้างงานออกแบบ UI/UX ได้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์เพียงหนึ่งเดียว บริษัทตั้งอยู่ใจกลางซิลิคอนแวลลีย์ และเริ่มดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนตั้งแต่ระยะแรก โดยสามารถระดมทุนได้รวม 129 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,793 ล้านบาท) จนสามารถขยับมูลค่าบริษัทแตะ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 13.9 หมื่นล้านบาท) ได้สำเร็จ
ข้อมูลไฟลิ่งล่าสุดที่ถูกยื่นต่อ SEC ยังเผยว่า รายได้ในปี 2024 ของฟิกมาสูงถึง 749 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.04 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในกลุ่มลูกค้าของบริษัทพบชื่อบริษัทชั้นนำอย่าง เน็ตฟลิกซ์, แอร์บีเอ็นบี, สไตรป์, เซอร์วิสนาว, AWS, เอชพี และเมอร์คาโด ลิเบร ขณะเดียวกัน ฟิกมายังสามารถขยายฐานผู้ใช้งานไปถึงกลุ่มฟรีแลนซ์และธุรกิจเกิดใหม่ได้อย่างแข็งแกร่ง
ในปี 2022 ฟิกมาเคยตกเป็นข่าวใหญ่ว่าจะถูกรวมกิจการโดยบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ อะโดบี(ADBE) ที่ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.78 แสนล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ด้วยความกังวลเรื่องการแข่งขัน ทำให้ดีลนี้ไม่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับของสหภาพยุโรปและอังกฤษ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างถอนตัวจากข้อตกลงในปลายปี 2023 โดยฟิกมาได้รับค่าปรับจากอะโดบีเป็นเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.39 หมื่นล้านบาท)
หลังจากถอนตัวจากการควบรวม ฟิกมาก็เดินหน้าต่อด้วยการวางแผนเข้าตลาดหุ้นนิวยอร์ก ซึ่งนอกจากจะสะท้อนกลยุทธ์การเติบโตที่ชัดเจนขึ้น ยังตอกย้ำแนวโน้มใหม่ของบริษัทด้านเทคโนโลยีที่เริ่มถือ *บิตคอยน์(BTC)* และ *USDC* ในสัดส่วนที่มากขึ้น เพื่อบริหารสินทรัพย์ระยะยาว
ข้อมูลจาก BitcoinTreasuries ระบุว่า ขณะนี้มีบริษัทจดทะเบียน 141 แห่ง และบริษัทเอกชนอีก 42 แห่งทั่วโลกที่ถือครองบิตคอยน์รวมกันคิดเป็นสัดส่วน 5.7% ของจำนวนบิตคอยน์ที่หมุนเวียนทั้งหมด ขณะที่กองทุน ETF และกองทุนรวมอื่นๆ ถือครองราว 7% ที่สำคัญในช่วง 3 ไตรมาสหลังมานี้ บริษัทเอกชนมียอดซื้อบิตคอยน์เพิ่มขึ้นมากกว่าสถาบันการเงินเสียอีก จุดนี้สะท้อนว่าการถือบิตคอยน์อาจกลายเป็น *แนวโน้มถาวร* มากกว่าการเกาะกระแส
ความคิดเห็นจาก CNBC ชี้ว่า สภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่ผ่อนคลายมากขึ้น หลังยุคของ *ประธานาธิบดีทรัมป์* ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันให้ภาคธุรกิจหันมาพิจารณาการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น กรณีฟิกมาอาจเป็น *ตัวอย่างล่าสุด* ของบริษัทที่เลือกใช้คริปโตเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ สะท้อนทิศทางใหม่ที่เริ่มเห็นทั้งในองค์กรขนาดใหญ่และสตาร์ทอัพหน้าใหม่
ความคิดเห็น 0