หน่วยงานการเงินสหรัฐฯ เปิดทางธนาคารรับฝากคริปโต หนุนการเชื่อมต่อสู่การเงินดั้งเดิม

หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหรัฐฯ ได้ออกแนวทางชัดเจนเกี่ยวกับการให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัลของธนาคาร ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระของสถาบันการเงินที่ต้องการถือครองหรือจัดการกับสกุลเงินดิจิทัล และช่วยเพิ่ม ‘ความชัดเจนทางกฎหมาย’ ให้แก่การเชื่อมต่อระหว่างโลกคริปโตกับการเงินแบบดั้งเดิมที่กำลังขยายตัวต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) ธนาคารกลางสหรัฐ(Fed), สำนักงานประกันเงินฝากแห่งชาติ(FDIC) และสำนักงานควบคุมสกุลเงิน(OCC) ได้ออกแถลงการณ์ร่วม โดยอธิบายแนวทางการที่ธนาคารสามารถดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัยภายใต้กรอบข้อบังคับที่มีอยู่ ด้วยแม้ไม่ได้เพิ่มข้อบังคับใหม่ ธนาคารที่ต้องการให้บริการด้านการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัลจำเป็นต้องเตรียมแผนงานด้าน ‘ระบบความปลอดภัยไซเบอร์, การจัดการคีย์ส่วนตัว, และการปกป้องข้อมูลสำคัญ’ อย่างรัดกุมก่อนให้บริการ

หน่วยงานกำกับฯ ยังชี้ให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของตลาดคริปโตที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จึงเน้นย้ำว่าธนาคารต้อง ‘ปรับปรุงระบบบริหารความเสี่ยงภายในอย่างต่อเนื่อง’ และควรมีแนวทางควบคุมและรับมือเทียบเท่าผลิตภัณฑ์ทางการเงินทั่วไป จึงส่งผลให้สถาบันการเงินที่ต้องการเข้าตลาดนี้จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในระดับสูง

อีกหนึ่งจุดที่ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือการถอดเกณฑ์ ‘ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง (Reputational Risk)’ ออกจากข้อพิจารณาด้านการตรวจสอบ ซึ่งเดิมทีถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ธนาคารลังเลในการร่วมมือกับบริษัทคริปโต การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้รับแรงส่งจากการเข้ารับตำแหน่งของโจนาธาน กูลด์(Jonathan Gould) ผู้อำนวยการ OCC คนใหม่ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ โดยกูลด์เคยมีบทบาททั้งในบริษัทบล็อกเชนอย่างบิตฟิวรี(Bitfury) และ OCC มาก่อน จึงทำให้หลายฝ่ายมองว่านี่เป็น ‘สัญญาณเชิงบวก’ ต่อความเข้าใจและท่าทีที่เปิดกว้างต่อคริปโตภายในวงราชการ

ล่าสุด OCC ได้อนุญาตให้ธนาคารผนวกรวมสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าสู่พอร์ตการลงทุนได้ และทาง FDIC เองก็ไม่กำหนดให้มีการแจ้งแยกต่างหากสำหรับการให้บริการคริปโต สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงจังหวะการ ‘ผ่อนคลายข้อจำกัด’ เป็นลำดับขั้น และความร่วมมือในแถลงการณ์ฉบับนี้ยังช่วยเสริมสร้าง ‘แรงผลักดัน’ ให้กับบริการที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งด้านการซื้อขาย, การรับฝาก, และการชำระบัญชี

นักวิเคราะห์ในวงการคริปโตให้ความเห็นว่า “การออกแนวทางครั้งนี้ มิใช่เพียงการให้ข้อมูล แต่เป็นการวางโครงสร้างที่ชัดเจนสำหรับการผสานระหว่างคริปโตและการเงินแบบดั้งเดิม” พร้อมชี้ว่าเป็นจุดเริ่มของความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างสถาบันการเงินและหน่วยงานกำกับดูแล อย่างไรก็ตาม ‘ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างด้านกฎระเบียบ’ เหล่านี้ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการขยายตัวของบริการสินทรัพย์ดิจิทัลภายในระบบการเงินหลักของประเทศในอนาคต