กรรมาธิการ SEC หนุนรวมคริปโตในแผน 401(k) ชี้ต้องเปิดเผยข้อมูลและให้ความรู้ผู้ลงทุน

พอล แอตกินส์(Paul Atkins) กรรมาธิการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) แสดงท่าที ‘เชิงบวก’ ต่อแนวคิดในการนำคริปโตเคอร์เรนซีมาเป็นส่วนหนึ่งของแผนเกษียณอายุแบบ 401(k) อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำถึง ‘ความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูลอย่างมีความรับผิดชอบและการให้ความรู้แก่ผู้ลงทุน’ โดยระบุว่าการดำเนินการใด ๆ ควรมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ

ในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อเร็ว ๆ นี้ แอตกินส์กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการอนุญาตให้นำสินทรัพย์คริปโตเข้าสู่แผน 401(k) โดยระบุว่า “เรายังไม่ปิดโอกาสสำหรับทางเลือกนี้” พร้อมชี้ว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเปิดเผยข้อมูล ผู้คนควรรู้ให้ชัดเจนว่าตัวเองกำลังลงทุนในอะไร” นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า “จะรอดูว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะดำเนินการใดต่อไป” แสดงความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย

มีรายงานว่า ทรัมป์อยู่ในสถานะ ‘พร้อมลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร’ ที่จะเปิดทางให้มีการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกรวมถึงคริปโตภายในแผน 401(k) ซึ่งจะเป็นการขยายโอกาสการบริหารเงินเกษียณจากเดิมที่เน้นไปยังหุ้นและพันธบัตร มาสู่สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง *บิตคอยน์(BTC)*

ในขณะเดียวกัน ทอมมี เทอร์เบอร์วิลล์(Tommy Tuberville) สมาชิกวุฒิสภาจากรัฐแอละแบมา เปิดเผยเมื่อเดือนเมษายนว่า เขาจะผลักดันร่างกฎหมาย ‘Financial Freedom Act’ ที่เคยเสนอในปี 2022 อีกครั้ง เนื้อหาหลักคือการผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนของผู้จัดการแผน 401(k) เพื่อให้สามารถเลือกลงทุนได้อิสระมากขึ้น เทอร์เบอร์วิลล์ย้ำมาโดยตลอดว่า คริปโตเคอร์เรนซีอย่างบิตคอยน์ควรเป็นหนึ่งในทางเลือกของพอร์ตเกษียณ

สำหรับแผน 401(k) ถือเป็นระบบเงินเกษียณที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยจัดตั้งผ่านนายจ้างให้พนักงานสามารถหักเงินเดือนอัตโนมัติเพื่อการลงทุน พร้อมรับเงินสมทบตามสัดส่วนจากนายจ้าง แนวโน้มการกระจายพอร์ตสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลัง ทำให้ประเด็นการรวมคริปโตเข้าสู่แผนการลงทุนเพื่อการเกษียณกลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง

หากคริปโตเคอร์เรนซีสามารถเข้าสู่ระบบ 401(k) ได้จริง นั่นจะทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยมี ‘การเข้าถึง’ ที่กว้างขึ้น และทำให้คริปโตมีบทบาทเพิ่มขึ้นในโลกการเงินกระแสหลัก แต่ในขณะเดียวกัน นี่ยังต้องแลกมาด้วยการเตรียมตัวและ ‘ความเข้าใจความเสี่ยงและความผันผวนของตลาด’ อย่างชัดเจน ซึ่งคาดว่า การออกแบบนโยบายและข้อกำกับดูแลในประเด็นนี้จะกลายเป็นข้อถกเถียงที่เข้มข้นในอนาคต