โจ ลูบินมั่นใจอีเธอเรียม(ETH) ก้าวสู่แกนหลักการเงินโลก สถาบันแห่สะสมทะลุ 3.2 พันล้านดอลลาร์

โจ ลูบิน ผู้ร่วมก่อตั้งอีเธอเรียม(ETH) และซีอีโอของบริษัทคอนเซนซิส (ConsenSys) กำลังเพิ่มความเร่งในการผลักดันให้องค์กรต่าง ๆ นำอีเธอเรียมมาใช้มากขึ้น โดยให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “เราจะสะสมอีเธอเรียมมากยิ่งกว่าทุกโปรเจกต์” แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในกลยุทธ์ของเขา

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ลูบินได้รับตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัทชาร์ปลิงค์ เกมมิ่ง(SharpLink Gaming) ที่จดทะเบียนในตลาดแนสแด็ก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแนวทางของบริษัทสู่กลยุทธ์การเงินแบบเน้นอีเธอเรียม ในตอนนั้นการเคลื่อนไหวนี้อาจดูแปลกใหม่ แต่ในปัจจุบันถูกตีความใหม่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระแส ‘การยอมรับอีเธอเรียมอย่างจริงจังจากสถาบัน’

ลูบินยังกล่าวว่าอีเธอเรียมไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มที่กระจายศูนย์กลาง แต่ยังเป็นโครงข่ายพื้นฐานทางการเงินที่สามารถโปรแกรมได้ ซึ่งเข้าสู่การใช้งานจริงแล้ว จุดแข็งของอีเธอเรียม เช่น การสเตค, ความชัดเจนด้านกฎระเบียบ, และการสร้างมูลค่าจากสัญญาอัจฉริยะ เป็น ‘จุดต่างสำคัญ’ เมื่อเทียบกับบิตคอยน์(BTC) ที่เป็นเพียงแหล่งเก็บมูลค่า

บริษัทต่าง ๆ ก็สะท้อนภาพแนวโน้มนี้อย่างชัดเจน โดยชาร์ปลิงค์ เกมมิ่งขณะนี้ถือครองอีเธอเรียมมากกว่า 360,000 โทเคน คิดเป็นมูลค่าราว 1.3 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท) ขณะที่บริษัทขุดบิตคอยน์ที่รู้จักกันดีอย่างบิตไมน์ อิมเมอร์ชัน(BitMine Immersion) ก็หันมาใช้กลยุทธ์อีเธอเรียมในช่วงไม่นานมานี้ โดยสามารถสะสมอีเธอเรียมได้กว่า 566,776 โทเคน คิดเป็นราว 2.1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท) ทั้งสองบริษัทไม่ได้แค่ถือครองอีเธอเรียม แต่ยังนำไปสเตคเพื่อสร้างรายได้และมีส่วนร่วมกับเครือข่าย

‘ความต้องการและความเชื่อมั่นจากสถาบันต่ออีเธอเรียมเพิ่มขึ้นอย่างมาก’ เป็นสิ่งที่สะท้อนได้จากราคาที่พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยจากระดับ 1,450 ดอลลาร์ (ประมาณ 2.01 แสนบาท) เมื่อเดือนเมษายน อีเธอเรียมได้ทะยานขึ้นเหนือ 3,600 ดอลลาร์ (ประมาณ 5 แสนบาท) ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีส่วนเกี่ยวโยงกับการสะสมขององค์กรและความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ด้านเทคนิค วิทาลิก บูเทอริน(Vitalik Buterin) ผู้ร่วมก่อตั้งอีกคนของอีเธอเรียม รับบทผู้นำการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการสเกลผ่านโรลอัป, การจัดเก็บข้อมูลแบบแบ่งส่วน (Data Sharding) หรือการขยายศักยภาพของระบบการเงินไร้ตัวกลาง (DeFi) และการประยุกต์เข้ากับระบบการเงินแบบดั้งเดิม

ล่าสุด ข้อมูลยังเผยว่าบริษัทจดทะเบียนถือครองอีเธอเรียมรวมกันในมูลค่ามากกว่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาท) ตอกย้ำสถานะของอีเธอเรียมที่ก้าวข้ามจากโลกของนักพัฒนาไปสู่รากฐานแห่งอนาคตของการเงินโลก

ขณะที่ลูบินนำอีเธอเรียมไปสู่เวทีการเงินองค์กรและการบริหารจัดการภายในบอร์ดบริหาร บูเทอรินก็เดินหน้าสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ทำให้การแบ่งบทบาทของทั้งสองกลายเป็นพลังเสริมที่ช่วยขับเคลื่อนอีเธอเรียมสู่ ‘แกนหลักของโครงสร้างการเงินยุคใหม่’ ได้อย่างมั่นคง