ข่าว 
ข้อมูลเหรียญ 
แนะนำสื่อ 
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) กำลังชะลอการดำเนินคดีกับบริษัทคริปโตบางรายที่มีเส้นตายใกล้เข้ามา การตัดสินใจนี้อาจเป็นเหตุผลที่การฟ้องร้อง ‘ริปเปิล(XRP)’ และ ‘คราเคน’ ยังคงดำเนินต่อไป
ตามรายงานของ ‘เอลีเนอร์ เทอร์เรต’ ผู้สื่อข่าวจาก Fox Business ซึ่งอ้างอิงแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ เส้นตายต่อไปของคดีริปเปิลคือวันที่ 16 เมษายน ขณะที่กรณีของคราเคนคือวันที่ 31 มีนาคม ส่วนคดีของ ‘คอยน์เบส’ และ ‘ไบแนนซ์’ มีกำหนดเดดไลน์วันที่ 14 มีนาคม และ 14 เมษายน ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ‘SEC’ อาจไม่เร่งสรุปคดีเหล่านี้ในเร็ว ๆ นี้
เทอร์เรตยังตั้งข้อสังเกตว่า SEC อาจกำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ ‘พอล แอตกินส์’ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อโดย ‘ทรัมป์’ อาจเข้ามารับตำแหน่งประธานใหม่ของ SEC นอกจากนี้ ประเด็นด้านกฎระเบียบคริปโตยังอยู่ภายใต้การอภิปรายของรัฐสภาและคณะทำงานด้านสินทรัพย์ดิจิทัลที่ขึ้นตรงกับทำเนียบขาว
ในอีกด้านหนึ่ง ความเคลื่อนไหวของ ‘บิตคอยน์(BTC)’ ได้กระตุ้นความกังวลว่าราคากำลังถูก ‘ควบคุม’ โดย ‘แซมสัน โมว’ ซีอีโอของ ‘Jan3’ กล่าวในงาน ‘Consensus Hong Kong 2025’ ว่าบิตคอยน์มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบราคาที่จำกัดเป็นเวลานาน ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคมปีที่แล้ว บิตคอยน์ซื้อขายอยู่ในช่วง 92,400-106,500 ดอลลาร์ และแม้จะพุ่งขึ้นไปแตะ 109,000 ดอลลาร์ในวันเข้ารับตำแหน่งของ ‘ทรัมป์’ ราคากลับร่วงลงมาอยู่ในช่วงเดิม ซึ่งบ่งชี้ถึงรูปแบบที่อาจเกิดจากการแทรกแซง
โมวให้ความเห็นว่า “การเคลื่อนไหวของบิตคอยน์ในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึง ‘การควบคุมอย่างเป็นระบบ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงกระแสเงินทุนจากสถาบันที่ไหลเข้าสู่ตลาด”
ในขณะเดียวกัน วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติรับรอง ‘ฮาวเวิร์ด ลัตนิก’ ผู้ได้รับการเสนอชื่อจาก ‘ทรัมป์’ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีพาณิชย์ ลัตนิกเคยดำรงตำแหน่งซีอีโอของ ‘แคนเตอร์ ฟิตซ์เจอรัลด์’ บริษัทการลงทุนที่มีความเกี่ยวข้องกับวงการคริปโต โดยก่อนหน้านี้ ‘เอลิซาเบธ วอร์เรน’ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างลัตนิกและ ‘เทเธอร์(USDT)’ ในระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา
ลัตนิกเคยแสดงความเห็นที่ดีต่อบิตคอยน์ โดยมองว่าการไม่มีศูนย์กลางควบคุมและรอบ ‘Halving’ ของบิตคอยน์ถือเป็นจุดแข็งหลัก นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าภายใต้การนำของเขา นโยบายที่เป็นมิตรต่อคริปโตอาจได้รับการผลักดันมากขึ้นในสหรัฐฯ
ความคิดเห็น 0