องค์การตำรวจสากล (Interpol) เปิดเผยว่า มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยรวม 1,209 ราย พร้อมยึดทรัพย์สินรวมมูลค่าราว 97,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.34 ล้านบาท) จากการปฏิบัติการกวาดล้าง *อาชญากรรมไซเบอร์* ทั่วทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการ *ขุดคริปโต* และการหลอกลวงด้านการลงทุน โดยภารกิจดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นของการใช้คริปโตในภูมิภาค ซึ่งส่งผลให้เกิดทั้งปัญหาด้านพลังงานและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 28 ตามเวลาท้องถิ่น Interpol แถลงว่า ได้ร่วมมือกับทางการแองโกลาเข้าปิดกิจการเหมืองคริปโตผิดกฎหมาย 25 แห่ง และจับกุมพลเมืองจีนกว่า 60 รายในพื้นที่ โดยสามารถยึดอุปกรณ์สำหรับขุดคริปโต มูลค่ารวมประมาณ 37 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 514 ล้านบาท) ซึ่งทางหน่วยงานระบุว่า อุปกรณ์เหล่านี้จะถูก *แจกจ่ายใหม่ให้กับพื้นที่ที่ขาดแคลน*
ทางด้านรัฐบาลแซมเบียก็เปิดเผยว่า มีประชาชนกว่า 65,000 รายตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพที่แอบอ้างการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และสูญเสียเงินรวมกันกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4,170 ล้านบาท) โดยกลุ่มนี้ใช้วิธีหลอกลวงด้วยการรับประกันผลตอบแทนสูง ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ Interpol จัดอยู่ในเป้าหมายของปฏิบัติการครั้งนี้
เบื้องหลังของปฏิบัติการนี้เชื่อมโยงกับปัญหาขาดแคลนพลังงานในหลายประเทศแอฟริกา โดยเฉพาะแองโกลา ซึ่งมีประชากรราว 39 ล้านคน และระบบโครงสร้างพื้นฐานพลังงานยังไม่มั่นคง รัฐบาลแองโกลาจึงประกาศห้ามการ *ขุดคริปโต* โดยเด็ดขาดตั้งแต่เดือนเมษายน 2024 ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่นี้ระบุว่า การครอบครองอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการขุดอาจมีโทษจำคุก 1 ถึง 5 ปี และถูกริบทรัพย์ทันที โดยทางสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำแองโกลาได้ออกคำเตือนถึงพลเมืองของตนให้หลีกเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมาย
ความสำคัญของปัญหานี้ไม่ได้จำกัดแค่ในแอฟริกาเท่านั้น ตัวอย่างจากรัสเซียก็มีกรณีที่ผู้กระทำผิดนำอุปกรณ์ขุดคริปโต 95 ตัวติดตั้งภายในรถบรรทุกและขโมยไฟฟ้าไปใช้แบบผิดกฎหมายในพื้นที่สาธารณะ
ความ ‘กังวล’ ต่อการใช้พลังงานจำนวนมากและ ‘โอกาสในการทุจริต’ ของ *คริปโต* ทำให้รัฐบาลทั่วโลกเริ่มออกมาตรการเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งความคิดเห็นของ Interpol ระบุว่า องค์การจะเดินหน้าสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศต่อไป เพื่อต่อสู้และป้องกันอาชญากรรมในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
ความคิดเห็น 0