การเติบโตของตลาด ‘สเตเบิลคอยน์’ อาจแตะระดับ *หลายล้านล้านบาท* ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า จากแรงหนุนของพัฒนาการด้านกฎระเบียบและการเปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบดิจิทัล โดยรีส เมอร์ริก(Reece Merrick) ผู้บริหารประจำภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาของริปเปิล(XRP) คาดการณ์ว่าตลาดนี้อาจขยายตัวมากกว่า *ประมาณ 3,470 ล้านล้านบาท (2.5 ล้านล้านดอลลาร์)* ในระยะ 4 ปีข้างหน้า
เมอร์ริกกล่าวผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ความเคลื่อนไหวด้านกฎหมายของรัฐบาลหลายประเทศ เช่น กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล ‘GENIUS’ ของสหรัฐฯ ร่วมกับการผสานใช้งานสเตเบิลคอยน์อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมฟินเทค จะกลายเป็นแกนกลางของตลาดในอนาคต เขาระบุว่า ‘การใช้งานจริงของสเตเบิลคอยน์’ และ ‘ความต้องการจากนักลงทุนสถาบัน’ คือแรงผลักดันโดยตรงที่เร่งการเติบโต
ปัจจุบัน มูลค่าตลาดสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกอยู่ที่ราว *ประมาณ 417 ล้านล้านบาท (3 แสนล้านดอลลาร์)* โดยแม้จะประเมินอย่างระมัดระวัง ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย *ประมาณ 1,670 ล้านล้านบาท (1.2 ล้านล้านดอลลาร์)* ภายในปี 2028 และหากเป็นไปตามฉากทัศน์ในแง่บวก ตัวเลขอาจสูงสุดถึง *ประมาณ 3,900 ล้านล้านบาท (2.8 ล้านล้านดอลลาร์)*
ล่าสุด ริปเปิลได้รุกเข้าสู่ตลาดเอเชียอย่างจริงจัง โดยจับมือกับ SBI VC Trade ของญี่ปุ่นเพื่อเริ่มจำหน่าย *RLUSD ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ของบริษัท* ในญี่ปุ่น พร้อมกันนี้ในเดือนกรกฎาคมยังเดินหน้ากลยุทธ์จ่ายตลาดด้วยการออก RLUSD เพิ่มอีก *ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท (1.225 พันล้านดอลลาร์)*
ทางด้านคอยน์เบส(Coinbase) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตชั้นนำ ก็เห็นพ้องว่า ตลาดสเตเบิลคอยน์จะเติบโตต่อเนื่อง โดยชี้ว่า ความสามารถในการเชื่อมโยงระบบการเงินแบบเดิมและดิจิทัลผ่านโครงสร้าง ‘ออน/ออฟแรมป์’ ที่มีประสิทธิภาพ ช่องทางการกระจายที่ขยายตัวได้ และการยอมรับจากหน่วยงานกำกับ คือปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดนี้
สเตเบิลคอยน์กำลังก้าวขึ้นเป็น *รากฐานสำคัญสำหรับการชำระเงินทั่วโลกและระบบบริการทางการเงินแบบดิจิทัล* โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเกิดใหม่ที่ยังขาดโครงสร้างธนาคาร โดยมันเข้ามาช่วยแปลง ‘มูลค่าดอลลาร์สหรัฐ’ ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลอย่างปลอดภัยและเข้าถึงได้ง่าย
“จากที่เคยนิยมเก็งกำไรกับคริปโตที่ราคาผันผวนสูง สเตเบิลคอยน์กำลังจะกลายเป็น ‘สินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจริง’” แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมให้ความเห็น พร้อมระบุว่า ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่กระแสเทคโนโลยี แต่เป็นการรีเซ็ตระบบการเงินโลกในระดับโครงสร้างใหม่อีกด้วย
ความคิดเห็น 0