ผู้บริหาร Alchemy แนะสเตเบิลคอยน์ต้องมีระบบคุ้มครองผู้บริโภคเทียบเท่า VISA-MasterCard

สเตเบิลคอยน์จะต้องมีระบบ ‘คุ้มครองผู้บริโภค’ เพื่อลดข้อเสียเปรียบจากแพลตฟอร์มการชำระเงินแบบดั้งเดิม เช่น วีซ่า(VISA) และมาสเตอร์การ์ด(MasterCard) ตามความเห็นของ กีโยม ปงแซง(Guillaume Poncin) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัทโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงิน อัลเคมี(Alchemy) เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาให้สัมภาษณ์กับ Cointelegraph โดยระบุว่า หากต้องการให้เทคโนโลยีบล็อกเชนถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในการชำระเงิน ความสามารถในการเทียบเท่าระบบเดิมในด้าน ‘การยกเลิกรายการ (Chargeback), การป้องกันการฉ้อโกง, การแก้ปัญหาข้อพิพาท และเครดิต’ ถือเป็นสิ่งจำเป็น

ปงแซงระบุเพิ่มเติมว่า “หากต้องการให้ผู้ใช้หันมาใช้สเตเบิลคอยน์ในชีวิตประจำวัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้าง ‘ความเชื่อมั่นและเสถียรภาพ’ เทียบเท่ากับระบบการชำระเงินเดิม” เขาเสนอว่าเทคโนโลยีสัญญาอัจฉริยะสามารถรวมฟีเจอร์คุ้มครองผู้บริโภคไว้ได้โดยตรง และผู้ให้บริการชำระเงินหรือผู้ออกเหรียญสามารถตั้ง ‘กองทุนประกัน’ เพื่อชดเชยผู้เสียหายจากการถูกฉ้อโกง

เขายังมองว่าในอนาคตจะเกิดทิศทางที่ ‘เครือข่ายการชำระเงินแบบดั้งเดิมและสเตเบิลคอยน์จะค่อย ๆ ผสานเข้าด้วยกัน’ โดยอธิบายว่า “แพลตฟอร์มการชำระเงินรายใหญ่จะเริ่มรองรับสเตเบิลคอยน์ และในที่สุด ธนาคารแต่ละแห่งจะมีเหรียญสเตเบิลคอยน์ของตัวเอง” พร้อมชี้ว่า ประสิทธิภาพของบล็อกเชนจะช่วยเสริมโครงสร้างพื้นฐานเดิม โดยเฉพาะใน ‘การโอนเงินข้ามพรมแดน’ และ ‘ตลาดเกิดใหม่’ ซึ่งขณะนี้สเตเบิลคอยน์เริ่มมีบทบาทนำอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ปงแซงคาดว่าในตลาดภายในประเทศเองจะเกิด ‘โมเดลการชำระเงินแบบไฮบริด’ ซึ่งเป็นการรวมกันของระบบ ‘การชำระเงินแบบเรียลไทม์’ และ ‘กลไกคุ้มครองผู้บริโภค’ เขาเน้นว่าการผสานคุณสมบัติของเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ากับโครงสร้างทางสังคมที่เชื่อถือได้ เป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน ‘นวัตกรรมทางการเงิน’ และ ‘การเข้าถึงบริการทางการเงิน’ อย่างเท่าเทียม