สเตเบิลคอยน์ ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2014 เพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดคริปโต กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าระบบการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะทางเลือกสำหรับ ‘ระบบชำระเงินที่มีต้นทุนสูงและไม่มีประสิทธิภาพ’ และกำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของระบบการชำระเงินในสหรัฐอเมริกา
แม้ว่าการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตแบบดั้งเดิมจะดูสะดวกสำหรับผู้บริโภค แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นภาระที่ยากจะรับได้สำหรับร้านค้า โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 139 ล้านล้านวอน โดยมีค่าธรรมเนียมระหว่าง 1.5%–3.5% ที่ผู้ค้าเป็นผู้รับภาระ ซึ่งส่งผลให้ร้านค้าต้องตั้งราคาสินค้าสูงขึ้น และสุดท้ายต้นทุนนี้ก็ตกไปอยู่ที่ ‘ผู้บริโภค’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในขณะที่ ‘บิตคอยน์(BTC)’ และ ‘อีเธอเรียม(ETH)’ นั้นมีข้อจำกัดจากความผันผวนของราคา *สเตเบิลคอยน์* สามารถเข้ามาแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการผูกค่าเงินเข้ากับดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สามารถใช้งานในการชำระเงินในชีวิตประจำวันได้จริง อีกทั้งยังมีความชัดเจนในการทำธุรกรรม ค่าธรรมเนียมต่ำ และใช้เวลาไม่นานในการชำระและชำระบัญชีผ่านระบบบล็อกเชน ซึ่งทั้งหมดนี้สร้าง ‘ผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม’ ให้ทั้งผู้บริโภคและร้านค้า
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ USDC จากเซอร์เคิล, RLUSD จากริปเปิล, บัตร XRP ของเจมิไน และแพลตฟอร์ม Air Shop ของโมกาแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง RLUSD ของริปเปิล ที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และเริ่มมีการซื้อขายในตลาดโลกแล้ว เป็นสัญญาณของการขยายการใช้งานในระดับจริงจัง
ระบบการชำระเงินในอดีตที่เคยถูกครอบงำโดยบริษัทบัตรเครดิตอย่างเบ็ดเสร็จ กำลังถูกแทนที่ด้วยระบบที่มี ‘ความยืดหยุ่น’ มากขึ้น สเตเบิลคอยน์ยังเปิดโอกาสให้สามารถออกแบบโปรแกรมสะสมแต้มได้ตามใจ ไม่ติดข้อจำกัดของระบบปิดแบบเดิม ส่งผลให้ผู้ใช้งานสามารถสะสม แลกเปลี่ยน หรือโอนย้ายแต้มได้อย่างอิสระ
แนวโน้มนี้กำลังได้รับความสนใจจากหลายอุตสาหกรรม เช่น สายการบิน บริษัทค้าปลีก หรือธุรกิจแฟรนไชส์ ซึ่งต่างมองเห็นโอกาสจากการใช้สเตเบิลคอยน์ในการลดต้นทุน และในขณะเดียวกันก็เพิ่มแรงจูงใจให้ผู้บริโภคอีกด้วย ถือเป็นเครื่องมือใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
สิ่งหนึ่งที่ผลักดันพัฒนาการเหล่านี้คือแนวนโยบาย ‘เปิดรับสินทรัพย์ดิจิทัล’ ที่เริ่มต้นตั้งแต่สมัย ‘ทรัมป์’ และยังคงมีอิทธิพลจนถึงปัจจุบัน นักลงทุนรายใหญ่และแพลตฟอร์มการค้ากำลังเร่งนำสเตเบิลคอยน์เข้ามาในระบบ ขณะที่ผู้กำกับดูแลก็เร่งสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน ซึ่งทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่าสเตเบิลคอยน์ไม่ใช่เพียงแค่ ‘สกุลเงินทางเลือก’ อีกต่อไป แต่กำลังเป็น ‘เสาหลัก’ ของระบบการเงินยุคใหม่ในสหรัฐอเมริกาอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0