สเตเบิลคอยน์กำลังกลายเป็นพลังขับเคลื่อนใหม่ในระบบการชำระเงินของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งบิตคอยน์(BTC)และอีเธอเรียม(ETH) แม้จะได้รับความนิยมสูง แต่ความผันผวนของราคาได้ส่งผลให้สเตเบิลคอยน์กลับโดดเด่นในแง่ของ ‘ความมั่นคง’ ล่าสุด สเตเบิลคอยน์เริ่มสั่นคลอน ‘ระบบชำระเงินแบบดั้งเดิม’ โดยเฉพาะการแข่งขันกับค่าธรรมเนียมของบัตรเครดิตที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนัก
บัตรเครดิตยังคงเป็นกลไกหลักในตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงในสหรัฐฯ แต่สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไป ก็คือ ‘ค่าธรรมเนียมสูง’ ที่มาพร้อมกับมัน ร้านค้าทั่วสหรัฐฯ ต้องแบกรับต้นทุนจากค่าธรรมเนียมบัตรกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 139 ล้านล้านวอน โดยเฉลี่ยแล้ว ร้านค้าจะเสียค่าธรรมเนียมราว 1.5–3.5% ต่อรายการ ซึ่งต้นทุนนี้ก็มักจะถูกผลักไปยังผู้บริโภคในรูปแบบของราคาสินค้า
ในทางตรงกันข้าม สเตเบิลคอยน์เสนอทางเลือกใหม่ที่ ‘ถูกกว่า’ และ ‘เร็วกว่า’ โดยไม่ต้องพึ่งพาองค์กรส่วนกลาง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ RLUSD ของบริษัทริปเปิล(XRP), บัตร XRP ของเจมิไน และแอร์ช็อป(Air Shop) จากโมกา(Moca) ซึ่งทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าธุรกิจต่างๆ เริ่มนำสเตเบิลคอยน์เข้ามาใช้ในภาคการชำระเงินจริง การข้ามขั้นตอนของเครือข่ายบัตรแบบเดิม ช่วยให้กระบวนการชำระเงินเสร็จสิ้นภายในไม่กี่วินาที และลดค่าธรรมเนียมได้อย่างมหาศาล
โดยพื้นฐานแล้ว สเตเบิลคอยน์คือคริปโตที่มีมูลค่าผูกกับ *เงินสดในโลกจริง* เช่น ดอลลาร์ ตัวอย่างเช่น USDC ที่ออกโดยบริษัทเซอร์เคิล หรือ RLUSD ของริปเปิล ซึ่งได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานการเงินนิวยอร์กเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา สเตเบิลคอยน์ที่ผูกกับดอลลาร์เหล่านี้ กำลังกลายเป็นทางเลือก ‘ทดแทนสกุลเงินประจำชาติ’ ในการชำระเงินเชิงพาณิชย์
นอกจากนี้ สเตเบิลคอยน์ยังเหนือกว่าบัตรเครดิตในแง่ของระบบรางวัลแบบ ‘โปรแกรมเมอร์เบิล’ หรือมีความยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน ผู้ถือเหรียญสามารถใช้รางวัลที่ได้เพื่อแลกเป็นสินค้าอื่นๆ โอนระหว่างแบรนด์ หรือเก็บไว้ในวอลเล็ตส่วนตัวได้ตามต้องการ ที่สำคัญ มูลค่าของแต้มรางวัลเหล่านี้ยังคงที่ และสามารถนำไปใช้ได้ทันที
การรวมบล็อกเชนเข้ากับระบบรางวัลของสเตเบิลคอยน์ เปิดโอกาสให้ผู้ค้ารักษาความภักดีของลูกค้าไปพร้อมกันกับการลดต้นทุน และสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างที่เด่นชัดคือสายการบินและห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่เริ่มหลุดพ้นจากระบบของวีซ่า(Visa) หรือมาสเตอร์การ์ด(Mastercard) แล้วหันไปพัฒนาระบบจ่ายเงินของตนเองมากขึ้น
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ ‘การชำระเงินแบบเรียลไทม์’ ของสเตเบิลคอยน์ ซึ่งส่งผลให้ธนาคารต้องกลับมาทบทวนบทบาทของตัวเองอีกครั้ง หากแต่ก่อนการโยกย้ายเงินและรับฝากเงินเป็นหน้าที่หลักของธนาคาร ปัจจุบัน ฟินเทคหลายรายเริ่มพัฒนาโมดูลการเงินโดยใช้บริการพื้นฐานจากสเตเบิลคอยน์ ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวโน้ม ‘ดอลลาร์ดิจิทัล’ ที่เริ่มต้นพูดคุยกันตั้งแต่สมัยการบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์
ในภาพรวม สเตเบิลคอยน์เริ่มกลายเป็น ‘สกุลเงินแห่งการชำระเงินจริง’ ของโลกยุคใหม่ ด้วยข้อดีทั้งด้าน *ค่าธรรมเนียมต่ำ*, *การชำระเงินเร็ว*, *รองรับการชำระเงินข้ามประเทศ* และ *ระบบรางวัลสำหรับลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล* สภาพของตลาดอเมริกันที่เคยถูกผูกขาดด้วยค่าธรรมเนียมของบัตรเครดิต กำลังถูกท้าทายอย่างชัดเจน และสเตเบิลคอยน์คือหนึ่งในตัวเปลี่ยนเกมที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระบบเศรษฐกิจจริง
ความคิดเห็น 0