ตลาดคริปโตยังคงเป็นสนามทดลองที่ไร้กรอบควบคุม ซึ่งแตกต่างจากสินทรัพย์แบบดั้งเดิม ด้วย ‘ความเสี่ยงเฉพาะตัว’ ที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลส่วนใหญ่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เช่น รายได้, กระแสเงินสด หรือห่วงโซ่อุปทาน ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับ ‘จิตวิทยาตลาด’ อย่างแท้จริง ไม่มีตัวชี้วัดด้านการเงินที่ชัดเจน ไม่มีปัจจัยเสนอหรืออุปสงค์ที่เจาะจงให้วิเคราะห์ นั่นทำให้ตลาดนี้ผันผวนอย่างรุนแรงและยากต่อการคาดเดา ซึ่งมักเป็น ‘กับดักทำลายพอร์ต’ สำหรับนักลงทุนจำนวนมาก
แม้จะมีความพยายามในการอ้างถึง ‘ศักยภาพของบล็อกเชน’ เพื่อสร้างคุณค่าให้กับคริปโต แต่หลักฐานที่แสดงว่าผู้ถือโทเค็นจะได้รับผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจอย่างแท้จริงยังคงมีอยู่ไม่มากนัก นักลงทุนสถาบันเองก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำความเข้าใจกับช่องว่างนี้ อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์(BTC) ยังคงได้รับ ‘ความเชื่อมั่นในระดับหนึ่ง’ จากการมีจำนวนจำกัดและโครงสร้างการลงทุนที่มีผู้เล่นหลักเข้าร่วม
พูดได้ว่า คริปโตคือโมเดล ‘ตลาดเสรีแบบไร้เงื่อนไข’ อย่างแท้จริง บางรายสามารถ ‘เปลี่ยนชีวิตได้จากผลตอบแทนมหาศาล’ ทำให้ความหวังต่อโลกการลงทุนใหม่นี้ยิ่งทวีความร้อนแรง แต่เบื้องหลังกลับมีปัจจัยเสี่ยงซ่อนอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘การใช้เลเวอเรจแบบไร้ขีดจำกัด’, ‘ความมั่นใจเกินเหตุ’ หรือ ‘โครงสร้างเปิดที่ทุกคนเข้ามาได้’ ยิ่งไปกว่านั้น กระแสจากโซเชียลมีเดียที่แชร์เรื่องราวความสำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งเพิ่มความเข้าใจผิดว่าตลาดนี้คือโอกาสทอง
กรณีตัวอย่างก็ไม่ต้องมองไกล เดือนกันยายนถึงตุลาคม 2025 ตลาดคริปโตต้องเผชิญกับการ ‘ล้างพอร์ตจากเลเวอเรจ’ ครั้งใหญ่ โดยมีการบังคับปิดสถานะรวมมูลค่ากว่า 18,000 ล้านดอลลาร์ และ 190,000 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ หรือประมาณ 2.5 และ 26.4 ล้านล้านวอน ส่งผลให้ตลาดพังลงเพียงไม่กี่ชั่วโมง เพราะเมื่อความเชื่อมั่นเปลี่ยนแง่ ทิศทางของอารมณ์ตลาดกลับตัวทันที ทำให้สถานะซื้อจำนวนมากถูกบังคับปิดโดยอัตโนมัติ Trader บางรายทำกำไรจากความผันผวนนี้ได้ แต่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่กลับ ‘ไม่ทันแม้แต่ล็อกอินเช็กพอร์ต’ ความเสียหายจึงเป็นวงกว้าง
แน่นอนว่า เลเวอเรจไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีใช้ในตลาดหุ้น ตลาดฟอเร็กซ์ และอนุพันธ์มาช้านาน แต่ตลาดเหล่านั้นมีกฎระเบียบควบคุม เช่น ในสหรัฐ การเทรดมาร์จินของบุคคลธรรมดาจะถูกจำกัดที่ 2:1 และอนุญาตเฉพาะผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นในอนุพันธ์หรือ Forex ในฝั่งคริปโตกลับตรงกันข้าม ใครก็สามารถใช้เลเวอเรจเกิน 100 เท่าได้ นี่คือปัจจัยที่ทำให้ ‘พอร์ตมูลค่าหลายล้านล้านหายไปในเสี้ยวนาที’
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกหลายแห่ง เช่นผู้จัดการกองทุนรายใหญ่ กำลังเข้ามามีส่วนในตลาดคริปโต ซึ่งการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของพวกเขา อาจ ‘พลิกผันทิศทางของทั้งตลาดได้ทันที’ นักเทรดรายย่อยมักรับมือกับสภาวะนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อวิธีการทำกำไรจากอดีตที่อาศัยเพียงโชค เริ่มใช้ไม่ได้ผล
ประสบการณ์จากการขาดทุนใน ‘ด็อกคอยน์(DOGE)’ หรือ การได้กำไรจาก ‘บิตคอยน์’ สร้างบทเรียนสำคัญให้กับนักลงทุนทุกคน โดยเฉพาะประเด็น ‘ความประมาท และการใช้เลเวอเรจอย่างเกินพอดี’ ที่ไม่สามารถพึ่งพาได้อีกต่อไป วันนี้ก็เริ่มต้นยุคใหม่ที่การลงทุนต้องไม่พึ่งอารมณ์ แต่ใช้ ‘กลยุทธ์และการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ’
แม้ตลาดคริปโตกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่การจะไปถึงจุดที่เรียกว่า ‘ตลาดที่มีวุฒิภาวะ’ นักลงทุนเองต้องเป็นฝ่ายเริ่มเปลี่ยนแปลงก่อน จากเดิมที่ยึดติดกับการเก็งกำไร ถึงเวลาที่ต้องเดินหน้าเข้าสู่ ‘โครงสร้างที่ขับเคลื่อนด้วยความรับผิดชอบในการลงทุน’ อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0