การเปิดเผยข้อมูลธุรกรรมในระบบบล็อกเชน ซึ่งเคยถือเป็นข้อได้เปรียบในด้าน ‘ความโปร่งใส’ กำลังกลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกนำไปใช้อย่างไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกรรมรอการยืนยันใน ‘เมมพูล’ ซึ่งเป็นหน่วยความจำชั่วคราวก่อนเข้าสู่เครือข่ายบล็อกเชน ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยในช่วงนี้อาจถูกผู้ไม่หวังดีใช้ในการแสวงหา *มูลค่าสูงสุดที่สามารถดึงออกได้ (Maximal Extractable Value - MEV)* หนึ่งในแนวทางใหม่ที่ถูกเสนอเพื่อแก้ไขปัญหานี้คือเทคนิคการเข้ารหัสธุรกรรมแบบ *Batched Threshold Encryption (BTE)* ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในแวดวงนักพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน
BTE พัฒนามาจากแนวคิด *การเข้ารหัสตามเกณฑ์ (Threshold Encryption)* โดยเน้นการกระจายอำนาจการถอดรหัสไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายตัว ซึ่งต้องร่วมมือกันเพื่อปลดล็อกข้อมูลธุรกรรม วิธีการนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการรวมศูนย์ของอำนาจ และเพิ่มทั้งความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว แม้จะเคยมีระบบทดลองมาก่อนแล้ว เช่น *Shutter* แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นต้นหรือระดับต้นแบบเท่านั้น
สำหรับปัญหา MEV นั้น พบได้บ่อยในระบบของ *อีเธอเรียม(ETH)* โดยเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา มีกรณีโจมตีแบบฟลัชแครชที่ผู้ไม่หวังดีสามารถดึงเงินไปได้สูงถึงราว 2.9 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 40.3 ล้านบาทผ่านกลไก MEV การโจมตีมีความซับซ้อนสูง บางกรณีรวมการทำธุรกรรมย่อย (sub-transactions) กว่า 200 ครั้ง และราว 32% ของการทำ MEV ทั้งหมดเกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างนักขุดกับช่องทางที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ จึงทำให้การตรวจสอบเป็นไปได้ยาก
หนึ่งในวิธีที่ถูกเสนอเพื่อป้องกันกลยุทธ์ซับซ้อนเช่นนี้คือการสร้าง ‘เมมพูลแบบเข้ารหัส (encrypted mempool)’ ซึ่งธุรกรรมจะยังคงถูกเข้ารหัสจนกว่าจะถูกเพิ่มลงในบล็อก ทำให้การเข้าถึงล่วงหน้าโดยบุคคลที่สามแทบเป็นไปไม่ได้ โดยระบบนี้อาศัยหลักของ ‘การเข้ารหัสตามเกณฑ์ (TE)’ เช่นกัน และมีลักษณะการทำงานใกล้เคียงกับระบบ ‘มัลติซิก (multisig)’ ที่ต้องการความเห็นชอบจากหลายฝ่ายในการถอดรหัส
อย่างไรก็ตาม ระบบ TE แบบดั้งเดิมยังมีข้อจำกัดในด้าน *การขยายระบบ (scalability)* เนื่องจากแต่ละเซิร์ฟเวอร์ต้องถอดรหัสการทำธุรกรรมแยกกันทั้งหมดและอัปโหลดผลลัพธ์ขึ้นบล็อกเชน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการสื่อสารที่หนาแน่น และความล่าช้าของการทำธุรกรรม แต่ด้วยรูปแบบ BTE ความยุ่งยากนี้ถูกลดลง เพราะเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวสามารถสร้างกุญแจถอดรหัสที่มีขนาดคงที่สำหรับกลุ่มธุรกรรม (batch) ทั้งชุด ส่งผลให้เมื่อมีจำนวนเซิร์ฟเวอร์หรือธุรกรรมเพิ่มขึ้น ระบบก็ยังสามารถทำงานได้โดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพ
หาก BTE สามารถพัฒนาไปสู่การใช้งานจริงในระบบบล็อกเชน ก็อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการจัดการความเป็นส่วนตัว และป้องกันการโจมตีแบบ MEV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่ายังอยู่ในช่วงการศึกษา แต่มีแนวโน้มสูงที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางการพัฒนาโครงสร้าง *บล็อกเชนแบบกระจายศูนย์* และมาตรการรักษาความปลอดภัยในระบบคริปโตเคอร์เรนซีในอนาคต
ความคิดเห็น 0