บิตคอยน์(BTC) ฟื้นตัวแรง จ่อแตะ 126,000 ดอลลาร์ หลังนักลงทุนมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

บิตคอยน์(BTC) เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมส่งสัญญาณการ ‘กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น’ ท่ามกลางบรรยากาศเชิงบวกที่เกิดจากข่าว ‘ความเป็นไปได้ของข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน’ ซึ่งช่วยกระตุ้นจิตวิทยาการลงทุน ตลาดมองว่าสัญญาณเหล่านี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพลิกกลับของเทรนด์ โดยแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลอย่าง Glassnode ระบุเมื่อเร็ว ๆ นี้ผ่านโพสต์บน X ว่า “ความรู้สึกเชิงลบและแรงขายดูเหมือนจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว” พร้อมเปิดโอกาสให้เกิด ‘การเปลี่ยนแนวโน้ม’

อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่า บิตคอยน์อาจเผชิญ ‘แรงขาย’ อีกครั้งที่บริเวณแนวต้านสำคัญราว 118,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.64 ล้านบาท ซึ่งเป็นจุดที่นักลงทุนบางส่วนอาจเริ่มทำกำไร แต่หากแรงซื้อยังคงเข้มแข็งต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาจะพยุงตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 126,199 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.75 ล้านบาทอีกครั้ง

สิ่งที่น่าจับตาคือ บิตคอยน์สามารถเคลื่อนไหว ‘อย่างมั่นคง’ อยู่ในกรอบราคาที่กว้างบริเวณใกล้จุดสูงสุดแม้จะมีความพยายามกดราคาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งนี้ การที่แนวรับในกรอบล่างยังไม่ถูกทำลายสะท้อนให้เห็นว่า ‘แรงซื้อ’ ยังคงเป็นฝ่ายครองความได้เปรียบ และนักลงทุนจำนวนมากยังไม่เร่งรีบทำกำไร โดยยังคงตั้งความหวังไว้กับการปรับขึ้นต่อในอนาคต

การฟื้นตัวของบิตคอยน์ยังส่งผลเชิงบวกต่อ ‘กลุ่มอัลต์คอยน์’ ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น อีเธอเรียม(ETH), โซลานา(SOL), อาวาแลนเช(AVAX) และโพลกาดอต(DOT) ซึ่งต่างก็ฟื้นตัวจาก ‘แนวรับทางเทคนิค’ ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้จะมีสัญญาณฟื้นตัวในระยะสั้น แต่ยังต้องเฝ้าระวัง ‘แรงขายรอบใหม่’ ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อราคาปรับขึ้นถึงแนวต้านรอบแรก ทำให้ “การยืนยันแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน อาจใช้เวลาอีกสักระยะ”

ปัจจัยหนุนที่อยู่เบื้องหลังการฟื้นตัวในรอบนี้ อาจไม่ได้มีแค่ภาพทางเทคนิค แต่รวมไปถึง ‘ประเด็นการเมืองในสหรัฐ’ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาพูดเป็นนัยถึงการนำ ‘มาตรการภาษีศุลกากร’ กลับมาใช้อีกครั้ง ทำให้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจกลับมาอยู่ในความสนใจ และ นักลงทุนบางส่วนได้หันไปมอง ‘บิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยแทนเงินดอลลาร์หรือทองคำ’

ความคิดเห็นจากนักวิเคราะห์ระบุว่า “แม้การฟื้นตัวรอบนี้อาจถูกมองว่าเป็นรีบาวด์ชั่วคราว แต่หากมีโครงสร้างพื้นฐานอย่าง ‘การปรับสมดุลในฝั่งอุปสงค์-อุปทาน’ ที่เชื่อมโยงกับความเสี่ยงระดับโลกเข้ามาสนับสนุน ก็อาจผลักดันให้ราคาทดสอบจุดสูงสุดอีกครั้ง” ทั้งนี้ ตลาดจะยังคงติดตามสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐ(Fed), บทบาทของทรัมป์ และแนวโน้มเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยชี้ทิศทางราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลในระยะต่อไป