สถิติเผยพฤศจิกายนคือเดือนทองของบิตคอยน์(BTC) ผลตอบแทนเฉลี่ยพุ่ง 40.5%

แม้บิตคอยน์(BTC)จะปิดเดือนตุลาคมด้วยแรงกดดันจากการปรับฐานราคา แต่ข้อมูลสถิติกว่า 10 ปีที่ผ่านมาได้สะท้อนว่า ‘ตอนนี้’ อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการขาย เนื่องจาก ‘พฤศจิกายน’ ถูกมองว่าเป็นเดือนที่มีแนวโน้มทำกำไรสูงที่สุดในรอบปี

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ราคาบิตคอยน์อยู่ที่ประมาณ 108,918 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 14.5 ล้านบาท ซึ่งลดลงราว 4.5% จากต้นเดือน แม้จะไม่ใช่การปรับตัวที่รุนแรง แต่ถือเป็นการถอยกลับของราคาที่เคยรักษาระดับแตะหลักแสนดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก ท่ามกลางภาวะตลาดที่แกว่งตัว นักลงทุนบางส่วนเริ่มพิจารณาการขายทำกำไร อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายรายแนะให้รอดูสถานการณ์ในเดือนพฤศจิกายนก่อนตัดสินใจ

แพลตฟอร์มวิเคราะห์ออนเชน ‘คริปโตแรงก์(CryptoRank)’ เปิดเผยแผนที่ความร้อนของผลตอบแทนรายเดือนซึ่งชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา เดือนพฤศจิกายนให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง *40.5%* ขณะที่ค่ากลางอยู่ที่ *10.3%* โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน 2013 ที่บิตคอยน์พุ่งขึ้นมากถึง *453.9%* ซึ่งยังคงถูกกล่าวถึงในแวดวงการลงทุนจนถึงวันนี้

*ความคิดเห็น:* แม้สถิติจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมด แต่แนวโน้มที่ยืนระยะยาวเช่นนี้ ย่อมส่งผลทางจิตวิทยาต่อการตัดสินใจของนักลงทุน กระแสคาดหวังที่เกิดจากอดีต อาจส่งผลให้เกิดแรงซื้อจริงในปัจจุบัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เดือนพฤศจิกายนก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์ของ ‘เครื่องยนต์ขับเคลื่อนตลาดกระทิง’ ได้อย่างต่อเนื่อง ปี 2020 นักลงทุนสถาบันเริ่มเข้าตลาดอย่างจริงจัง ส่งผลให้บิตคอยน์พุ่งขึ้น *42.9%* ในเดือนเดียว ขณะที่ในปี 2023 หลังผ่านช่วงผันผวนของฤดูร้อน ตลาดก็รีบาวด์ขึ้น *8.9%* ซึ่งกลายเป็นจุดตั้งต้นของ ‘แรลลี่ปลายปี’ ที่นักลงทุนรอคอย

แม้ต้นปีนี้บิตคอยน์จะเผชิญแรงขายในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ร่วงลง *17.5%* และ *2.1%* ตามลำดับ แต่ราคาได้ฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม โดยสามารถทะลุขึ้นไปแตะหมื่นดอลลาร์อีกครั้งในระหว่างนั้น

นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งเตือนว่า การเลือกขายบิตคอยน์ในตอนนี้ อาจไม่ได้เป็นเพียงการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง แต่เป็นการ‘สวนทาง’กับสถิติเก่าแก่ที่สะสมมายาวนานกว่า 10 ปี ถึงแม้กำไรในอดีตไม่สามารถรับประกันอนาคตได้ แต่การลงทุนเชิงสถิติก็ยังถือเป็นหนึ่งในแนวทางที่ใช้การได้ในภาวะตลาดปัจจุบัน

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในช่วงก่อนเข้าสู่พฤศจิกายน กำลังกลับมามีท่าที ‘ลุ้นฟื้นตัว’ อีกครั้ง นักลงทุนจึงควรอ้างอิงข้อมูลในอดีตอย่างมีวิจารณญาณ พร้อมสังเกตการไหลเข้าของเงินทุนจริง รวมถึงปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคอย่างใกล้ชิด