ราคาของอีเธอเรียม(ETH) พุ่งทะลุ 3,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 4.33 ล้านบาท) พร้อมส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยล่าสุดบรรดานักลงทุนรายใหญ่หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘วาฬ’ เริ่มกลับเข้าซื้ออีกครั้ง สร้างความคาดหวังว่าตลาดอาจกลับเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอย่างจริงจังในเร็วๆ นี้
ข้อมูลออนเชนระบุว่า กระเป๋าเงินที่ถือครองมากกว่า 1,000 ETH ได้เร่งสะสมอีเธอเรียมอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์จาก Milk Road เผยว่าตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม จนถึงปัจจุบัน กลุ่มนักลงทุนเหล่านี้ได้เข้าซื้อ ETH จำนวนรวมประมาณ 120,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าราว 350 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5,050 ล้านบาท)
แม้ตลาดจะยังมีความผันผวนสูง แต่กลุ่มผู้ถือครองรายใหญ่ยังคงซื้อสะสมในระยะยาว ปัจจุบันกลุ่มดังกล่าวถือครองอีเธอเรียมอยู่ประมาณ 70% ของปริมาณหมุนเวียนทั้งหมด และสัดส่วนนี้ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2024 การเคลื่อนไหวนี้จึงสะท้อน ‘ความเชื่อมั่น’ จากกลุ่มทุนที่มีอิทธิพลต่อทิศทางตลาดในอนาคต
Milk Road กล่าวเพิ่มเติมว่า “เงินทุนที่เฉียบคมกำลังมองเห็นว่าอีเธอเรียมยังอยู่ในช่วงราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และตลาดส่วนใหญ่ยังไม่ได้สะท้อนข้อมูลนี้ออกมาอย่างเต็มที่”
นอกจากกลุ่มวาฬรายบุคคลแล้ว ‘สถาบันการเงิน’ ก็เริ่มเข้าซื้ออีเธอเรียมเช่นกัน ข้อมูลจากแพลตฟอร์ม Lookonchain เผยว่า บริษัทวิจัยการลงทุน Trend Research ได้ทยอยนำเงินทุนจากเหรียญสเตเบิลคอยน์เทเธอร์(USDT) มาซื้อ ETH อย่างสม่ำเสมอ โดยขณะนี้มีกำลังถือครองมากถึง 601,074 ETH หรือราว 1.83 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 26,422 ล้านบาท) ซึ่งในจำนวนนี้มีถึง 958 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 13,821 ล้านบาท) ที่จัดสรรผ่านแพลตฟอร์มเงินกู้แบบดีไฟน์ชื่อว่า Aave
ราคาซื้อเฉลี่ยสำหรับ ETH ที่เทรนด์รีเสิร์ชนำออกจากไบแนนซ์ คาดว่าอยู่ที่ระดับประมาณ 3,265 ดอลลาร์ (ประมาณ 4.71 แสนบาท) ต่อเหรียญ
ด้านบริษัทจดทะเบียน Bitmine Immersion ก็กลับเข้ามาซื้อ ETH อีกครั้ง โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทเพิ่มการถือครองกว่า 44,463 ETH คิดเป็นมูลค่าประมาณ 130 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,876 ล้านบาท) ขณะนี้ถือครองอีเธอเรียมรวมมากกว่า 4.11 ล้านเหรียญ คิดเป็นมูลค่าตลาดสูงถึง 12 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 173,160 ล้านบาท)
ในขณะที่ตลาดยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดย ETH ซื้อขายอยู่ที่ระดับประมาณ 2,951 ดอลลาร์ (ประมาณ 4.25 แสนบาท) ต่อเหรียญ การเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนรายใหญ่และสถาบันยังคงเป็นสัญญาณบวกในระยะกลางถึงยาว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากอดีตที่แสดงให้เห็นว่า ‘เงินทุนขนาดใหญ่’ มักมาก่อนการปรับตัวของราคา
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า หากแนวโน้มการสะสมนี้ดำเนินต่อไป อีเธอเรียมอาจเข้าสู่จุดเริ่มต้นของการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น การอนุมัติกองทุน ETF ภายในปี 2025 และการขยายตัวของระบบสเตกกิ้งซึ่งอาจเป็น ‘เชื้อไฟ’ สำคัญที่ช่วยหนุนราคาให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก
‘ความคิดเห็น’: ความเคลื่อนไหวของวาฬและนักลงทุนสถาบันในตลาดอีเธอเรียม ขณะนี้กำลังแสดงให้เห็นว่า ‘รายใหญ่กำลังเคลื่อนที่’ ซึ่งหากยังไม่ถูกสะท้อนในราคาตลาด อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการ ‘เข้าจังหวะเดียวกับมืออาชีพ’ ก่อนที่ตลาดจะตอบสนองเต็มที่ต่อสัญญาณนี้
ความคิดเห็น 0