บิตคอยน์(BTC) ผันผวนหนักแตะ 3.6% จากนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่แน่นอน

บิตคอยน์(BTC) มีความผันผวนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 3.6% เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ปัจจัยสำคัญมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทำให้นักลงทุนพิจารณาผลกระทบจากหลากหลายสถานการณ์

อูลดิส เทอารุดกลานส์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ของเพย์บิส(Paybis) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตในสหราชอาณาจักร ระบุว่าโครงสร้างเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความผันผวนของบิตคอยน์ โดยเขาให้ความเห็นว่า "การเปลี่ยนแปลงในนโยบายรัฐบาลล่าสุดทำให้ยากต่อการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง"

นอกจากนี้ 'หน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาล' (Department of Government Efficiency) ที่นำโดยอีลอน มัสก์(Elon Musk) ได้อ้างว่านโยบายดังกล่าวสามารถลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้สูงถึง 115,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้เกิดการถกเถียงถึงผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค

ความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาด โดยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เมื่อวันที่ 19 มีนาคม มีมติคงอัตราดอกเบี้ย และส่งสัญญาณว่าอาจลดดอกเบี้ยสองครั้งในปี 2025 ซึ่งนำไปสู่ความผันผวนในตลาดคริปโต เทอารุดกลานส์กล่าวว่า "หากมาตรการรัดเข็มขัดทางการเงินเกิดขึ้นพร้อมกับการคงอัตราดอกเบี้ยหรือปรับลดดอกเบี้ย อาจทำให้สภาพคล่องลดลงจนหักล้างผลของนโยบายทางการเงิน"

ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม ราคาบิตคอยน์มีความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง โดยแตะระดับสูงสุดที่ 109,590 ดอลลาร์ ก่อนจะปรับตัวลดลงเหลือ 77,041 ดอลลาร์ระหว่างวันที่ 9-15 มีนาคม ซึ่งคิดเป็นการปรับฐาน 30% ปัจจุบันราคาปรับตัวขึ้นมาที่ประมาณ 84,000 ดอลลาร์

ผู้เชี่ยวชาญในตลาดมองว่าแม้ทรัมป์จะแสดงท่าทีสนับสนุนคริปโตมากขึ้น เช่น การออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อสำรองบิตคอยน์ รวมถึงการประกาศเป้าหมายให้สหรัฐฯ เป็น 'ประเทศผู้นำด้านบิตคอยน์' ในที่ประชุมสุดยอดสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2025 แต่ในขณะเดียวกัน นโยบายภาษีใหม่และความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ตลาดกังวล

เทอารุดกลานส์สรุปว่า "ราคาบิตคอยน์ได้รับแรงกระเพื่อมจากนโยบายเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งเมื่อแนวทางด้านการเงินและการคลังสวนทางกัน จะยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาด" นักลงทุนยังคงจับตาทิศทางของ Fed และรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อตัดสินใจท่าทีต่อตลาดคริปโตในอนาคต