ผู้เชี่ยวชาญชี้: กฎหมายสเตเบิลคอยน์คือกุญแจ ก่อนสหรัฐเดินหน้าปฏิรูปภาษีคริปโต

ท่ามกลางกระแสการปฏิรูปกฎระเบียบคริปโตในสหรัฐที่เร่งตัวขึ้น ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมชี้ว่า ‘สเตเบิลคอยน์’ และ ‘การเข้าถึงบริการธนาคาร’ ควรได้รับการกำหนดกรอบกฎหมายที่ชัดเจนก่อนการเจรจาเกี่ยวกับภาษีจะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมธาน เออร์เดอร์(Mattan Erder) ที่ปรึกษากฎหมายของออร์บส์(Orbs) ซึ่งเป็นเครือข่ายบล็อกเชนแบบกระจายศูนย์ กล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า การปฏิรูประบบภาษียังไม่ใช่ภารกิจหลักของสหรัฐในด้านกฎระเบียบคริปโต พร้อมเน้นว่า *ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายหลักทรัพย์* และ *ข้อจำกัดในการเข้าถึงระบบธนาคาร* ต่างหากคือประเด็นสำคัญที่จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมในทางปฏิบัติ

เขายังกล่าวด้วยว่า ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ มีการดำเนินนโยบายที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมคริปโตในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมคาดการณ์ว่า สหรัฐจะจัดเตรียมระบบนิเวศด้านกฎระเบียบที่ครอบคลุมและสมเหตุสมผลมากขึ้นในไม่ช้า ซึ่งอาจรวมถึงการปฏิรูปภาษีด้วย

แต่อย่างไรก็ดี เออร์เดอร์เตือนว่า แม้คำสั่งฝ่ายบริหารจากประธานาธิบดีและการดำเนินการจากหน่วยงานกำกับดูแลจะมีส่วนช่วย แต่ก็ยัง ‘ไม่เพียงพอ’ หากปราศจากการอนุมัติจากสภาคองเกรส ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญของการแก้ไขกฎหมายจริงจัง โดยเขาอ้างถึงคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่สั่งให้รัฐบาลจัดหา *บิตคอยน์(BTC)* เป็นทรัพย์สินสำรองของชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงท่าทีสนับสนุนในระดับรัฐบาลกลางที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องการเข้าถึงระบบธนาคารหรือที่เรียกว่า ‘การปิดทางใช้บริการธนาคาร’ (debanking) ก็ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญของอุตสาหกรรมคริปโต โดย เคย์ทลิน ลอง(Caitlin Long) ซีอีโอของคัสโตเดียแบงก์(Custodia Bank) เตือนว่า "เนื่องจากทรัมป์ไม่สามารถแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ใหม่ในคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐได้ก่อนเดือนมกราคม ปี 2026 จึงเร็วเกินไปที่จะคาดหวังว่าปัญหา debanking นี้จะได้รับการแก้ไขในทันที"

เมื่อเดือนมิถุนายน 2024 เอกสารที่ถูกเปิดเผยจากการฟ้องร้องซึ่งนำโดย *คอยน์เบส(Coinbase)* แสดงให้เห็นว่า หน่วยงานกำกับทางการเงินของสหรัฐเคยร้องขอให้ธนาคารบางแห่ง ‘หยุดให้บริการที่เกี่ยวข้องกับคริปโตชั่วคราว’ ทำให้ตลาดได้รับความไม่พอใจในวงกว้าง

ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญกลับมองว่า *การออกกฎหมายสเตเบิลคอยน์* จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการขยายตัวของอุตสาหกรรม เดวิด แพ็คแมน(David Pakman) พาร์ทเนอร์ผู้จัดการจากบริษัทลงทุนคริปโตอย่าง *คอยน์ฟันด์(CoinFund)* มองว่า การผ่านร่างกฎหมายสเตเบิลคอยน์ในเร็วๆ นี้ จะเป็นแรงกระตุ้นให้สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมหันมาใช้งานระบบการชำระเงินบนบล็อกเชนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคุณสมบัติด้าน *ความเร็ว ความโปร่งใส และการดำเนินงานแบบไม่ต้องมีตัวกลางตลอด 24 ชั่วโมง*

ขณะนี้ ความสนใจหลักของวงการอยู่ที่ร่าง *กฎหมาย Genius (Guiding and Establishing National Innovation for US Stablecoins)* ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาในสภาคองเกรส โดยร่างกฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายในการกำหนดมาตรฐานสินทรัพย์ค้ำประกันของสเตเบิลคอยน์ พร้อมทั้งบังคับใช้ข้อกำหนดด้านการป้องกันการฟอกเงิน (AML)

โบ ไฮนส์(Bo Hines) กรรมการบริหารคณะที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวมีแนวโน้มจะได้รับการอนุมัติภายใน ‘ไม่เกินสองเดือน’ ซึ่งช่วยเพิ่มความหวังในตลาด

ท้ายที่สุด การจัดระเบียบกฎหมายสเตเบิลคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงการแสวงหาความชัดเจนทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง *ยุทธศาสตร์ของสหรัฐในการช่วงชิงความเป็นผู้นำในตลาดคริปโตโลก* และเมื่อโครงสร้างนี้สำเร็จ *การปฏิรูประบบภาษีคริปโต* ก็จะสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น