อังกฤษเร่งผลักดันคริปโตเป็นยุทธศาสตร์ชาติ หวังสร้างมูลค่าศก. 57 พันล้านปอนด์ใน 10 ปี

สมาคมอุตสาหกรรมบล็อกเชนและเทคโนโลยีชั้นนำในสหราชอาณาจักรเรียกร้องรัฐบาลให้นำ ‘คริปโตเคอร์เรนซี’ มาเป็นศูนย์กลางของยุทธศาสตร์ระดับประเทศ โดยยื่นจดหมายถึงสำนักงานของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์เมื่อวันที่ 31 เพื่อเสนอให้แต่งตั้งผู้แทนพิเศษด้านคริปโต พร้อมจัดทำแผนระยะยาวที่สอดคล้องกับทิศทางของสหรัฐอเมริกา

การเคลื่อนไหวนี้นำโดยกลุ่มพันธมิตรจำนวน 6 สมาคม ประกอบด้วย คณะกรรมการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งสหราชอาณาจักร, กลุ่มการเงินดิจิทัลโลก, สมาคมเพย์เมนต์, กลุ่มธรรมาภิบาลสกุลเงินดิจิทัล, คณะกรรมการนวัตกรรมคริปโต และ TechUK โดยทั้งหมดเน้นย้ำว่าจำเป็นต้องมี “วิสัยทัศน์และการจัดการเชิงกลยุทธ์ สำหรับการลงทุน เติบโต และสร้างงานในภาคสินทรัพย์ดิจิทัล”

ในจดหมายยังระบุถึงกรณีของ ‘ทรัมป์’ ซึ่งเคยเปลี่ยนแนวทางนโยบายคริปโตของสหรัฐ พร้อมแต่งตั้ง ‘ผู้แทนพิเศษ’ เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ระดับชาติ กลุ่มพันธมิตรเห็นว่าหากสหราชอาณาจักรต้องการมีบทบาทในข้อตกลงทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีกับสหรัฐ จำเป็นต้องแสดงความเป็นผู้นำในด้านบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลเช่นกัน

ข้อเสนอยังรวมถึง การแต่งตั้งตัวแทนพิเศษด้านบล็อกเชน, การจัดตั้งหน่วยงานนโยบายเฉพาะทาง, การจัดบริการสนับสนุนเพื่อดึงดูดเทคโนโลยีสตาร์ทอัป ตลอดจนการศึกษาแนวโน้มของการผสานเทคโนโลยีร่วมกัน เช่น บล็อกเชน, ควอนตัมคอมพิวติ้ง และปัญญาประดิษฐ์ ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ในภาครัฐ

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ คือข้อเสนอจัดตั้งคณะทำงานระดับสูงซึ่งประกอบด้วย ผู้เกี่ยวข้องจากภาคอุตสาหกรรม รัฐบาล และหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อสร้าง ‘ความชำนาญ’ และ ‘ความร่วมมือ’ ในการกำหนดนโยบาย

ภาคอุตสาหกรรมเชื่อมั่นว่าสหราชอาณาจักรมีข้อได้เปรียบจากความสามารถของบุคลากร, การเข้าถึงแหล่งทุน, สถาบันวิจัยชั้นนำระดับโลก และกรอบกำกับดูแลที่เติบโตอย่างมีระบบ ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทั่วโลก โดยการประเมินของพวกเขาระบุว่า ภาคสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่สหราชอาณาจักรสูงถึง *57 พันล้านปอนด์* (ราว *104 ล้านล้านวอน*) ภายในเวลา 10 ปี และส่งผลให้ GDP ทั่วโลกเพิ่มขึ้นได้ถึง *1.39 ล้านล้านปอนด์* (ราว *2.5 พันล้านล้านวอน*) ภายในปี 2030

ทอม กริฟฟิธส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง BitComply แสดงความคิดเห็นว่า “สำนักงานกำกับดูแลการเงินแห่งสหราชอาณาจักร หรือ FCA ไม่ได้ขาดความสามารถ แต่กำลังล้าหลังประเทศอย่างดูไบ, สิงคโปร์ และบางชาติภายใน EU” เขาเสริมอีกว่า “นี่คือช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจสำหรับ FCA หากไม่ลงมือขณะนี้ อาจสูญเสียโอกาสอันมหาศาลจากสินทรัพย์ดิจิทัลในอีก 20 ปีข้างหน้า”