บิตคอยน์(BTC) ทะลุแนวต้าน ‘100,000 ดอลลาร์’ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ก่อนปรับตัวลดลงเล็กน้อย ทำให้ตลาดเกิดความกังวล อย่างไรก็ตาม รอบขาขึ้นครั้งนี้มีลักษณะแตกต่างจากเดิม โดยไม่ได้เป็นการพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง แต่เป็น ‘แนวโน้มขาขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป’ ซึ่งแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงของตลาด
จากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน ‘Glassnode’ รอบขาขึ้นครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความผันผวนรุนแรงเหมือนในอดีต โดยหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญอย่าง ‘Realized HODL (RHODL) Ratio’ ชี้ให้เห็นว่าอุปสงค์ใหม่ไม่ได้ไหลเข้าสู่ตลาดพร้อมกันในคราวเดียว แต่มีลักษณะ ‘ไหลเข้าทีละน้อย’ นอกจากนี้ สัดส่วนการถือครองของนักลงทุนระยะยาวยังลดลง ซึ่งสะท้อนว่าโครงสร้างตลาดกำลังพัฒนาแตกต่างออกไปจากรอบที่ผ่านมา
ความผันผวนของบิตคอยน์ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเปรียบเทียบกับรอบขาขึ้นก่อนหน้านี้ที่เคยมีความผันผวนของราคา ‘80-100%’ แต่ในรอบนี้กลับลดลงต่ำกว่า ‘50%’ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าบิตคอยน์กำลังพัฒนาเป็นสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2024 บิตคอยน์สามารถสร้าง ‘จุดสูงสุดตลอดกาล’ ใหม่ภายในเวลาเพียงสองเดือนหลังจากที่กองทุน ETF ได้รับการอนุมัติ ความเคลื่อนไหวนี้ได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากการที่รัฐยูทาห์ของสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายอนุญาตให้สามารถนำ ‘เงินทุนสาธารณะ’ มาลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึง ‘กระแสเงินทุนจากสถาบัน’ ที่กำลังไหลเข้ามา
นอกจากนี้ โรเบิร์ต คิโยซากิ(Robert Kiyosaki) ผู้เขียนหนังสือชื่อดัง ‘พ่อรวยสอนลูก’ ได้ออกมาเปิดเผยว่า เขาเพิ่ง ‘เข้าซื้อบิตคอยน์เพิ่ม’ ในช่วงตลาดขาลงที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบิตคอยน์ยังคงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในระยะยาว
ในปัจจุบัน บิตคอยน์กำลังสร้างแนวรับสำคัญที่ ‘95,869 ดอลลาร์’ หากยังคงรักษาระดับนี้ไว้ได้ อาจมีโอกาสกลับไปทดสอบแนวต้านที่ ‘100,000 ดอลลาร์’ อีกครั้ง แต่หากแนวรับแตก บิตคอยน์อาจร่วงลงไปถึง ‘93,625 ดอลลาร์’ ได้ ทำให้ตลาดจับตามองต่อแนวโน้มระยะสั้น ขณะที่ในระยะยาวนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองว่าอยู่ใน ‘ภาวะขาขึ้นเชิงโครงสร้าง’
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คริปโตชื่อดัง ‘PlanB’ ยังคงมองบวกต่อทิศทางของบิตคอยน์ โดยให้ความเห็นว่า ราคามักจะ ‘พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ’ ในช่วง 6-18 เดือนก่อนและหลังการ ‘Halving’ ดังนั้นหากอ้างอิงจากข้อมูลในอดีต บิตคอยน์ยังคงมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีก 9 เดือนข้างหน้า
ความเปลี่ยนแปลงของรอบขาขึ้นในครั้งนี้อาจทำให้นักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยตลาดที่มีทิศทาง ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ อาจเปิดโอกาสให้ใช้ ‘กลยุทธ์ซื้อสะสม’ ระหว่างช่วง ‘ราคาย่อตัว’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🎯
ความคิดเห็น 0