นโยบายการเก็บภาษีนำเข้าสูงกว่า 10% ฉบับใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วตลาดการเงินโลก ขณะที่ฝั่งนักลงทุนคริปโตและนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งกลับมองว่าสถานการณ์นี้เป็น *สภาพแวดล้อมเชิงบวก* ต่อบิตคอยน์(BTC) โดยเชื่อว่านโยบายภาษีดังกล่าวอาจผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะโดดเดี่ยว และมีแนวโน้มทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง ซึ่ง *อาจกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ดิจิทัล* อย่างแท้จริง
อาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ผู้ร่วมก่อตั้ง BitMEX แสดงความเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันที่ 4 ว่า “ผมชอบภาษีนำเข้า มันสร้างเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่ดีต่อบิตคอยน์และทองคำ” พร้อมเสริมว่า ความพยายามของสหรัฐในการแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าผ่านการเก็บภาษี อาจนำไปสู่การพิมพ์เงินเพิ่มขึ้น ซึ่งบิตคอยน์สามารถทำหน้าที่เป็น *เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ* ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลที่ตามมาเห็นได้ชัดเจนจากตลาดหุ้น โดยดัชนีแนสแด็ก 100 ร่วงลงมากกว่า 962 จุดในวันเดียว นับเป็นการปรับตัวลงรายวันที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 นอกจากนี้ ราคาทองคำเองก็ลดลงมากกว่า 3% สะท้อนถึงการสั่นคลอนในสถานะของทองคำในฐานะสินทรัพย์หลบภัย เมื่อบรรดานักลงทุนตัดสินใจขายทองคำเพื่อลดความเสี่ยง
ขณะเดียวกัน จีนตอบโต้ด้วยการประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐทั้งฉบับในอัตราสูงถึง 34% จุดชนวนให้ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจปะทุขึ้นอีกครั้ง ตลาดหุ้นทั่วโลกจึงปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันที่สอง ดัชนี S&P500 และดัชนีหลักของแนสแด็กต่างร่วงราว 5%
เฮย์สยังชี้ว่า ธนาคารกลางของจีนอาจปล่อยให้เงินหยวน(CNY) อ่อนค่ามากขึ้น หากอัตราภาษีนำเข้ารวมสูงถึง 65% โดยประเมินว่าเงินหยวนอาจอ่อนทะลุระดับ 8.00 หนุนให้นักลงทุนจีนต้องมองหาทางเลือกเพื่อเก็บมูลค่า และ *บิตคอยน์อาจเป็นเป้าหมายใหม่ของกระแสเงิน* เหล่านั้น
นอกจากนั้น ความกดดันต่อธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) กำลังเพิ่มสูงขึ้น เฮย์สคาดว่าเฟดจะกลับมาใช้นโยบายลดดอกเบี้ยและอัดฉีดเงินผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) พร้อมแนะนำให้นักลงทุน *ถือเงินสดไว้และเตรียมตัวให้ยืดหยุ่น* ด้าน เจย์ พาวเวล ประธานเฟด ยังยืนยันว่า “เศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะไม่แน่นอนสูง” และไม่ปฏิเสธถึงความเป็นไปได้ของ *อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงาน*
ทางด้าน เจฟฟรีย์ เคนดริก(Geoffrey Kendrick) หัวหน้าฝ่ายคริปโตของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่าบิตคอยน์เริ่มกลายเป็น *สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์เพื่อรองรับความโดดเดี่ยวของสหรัฐ* โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของบิตคอยน์ในฐานะสื่อกลางระหว่างทองคำกับหุ้นเทคโนโลยี อีกทั้งยังเผยว่า บิตคอยน์ได้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในการปกป้องความเสี่ยงจากตลาดการเงินแบบดั้งเดิมอีกครั้งในช่วง 36 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เคนดริกยังแสดงมุมมองเชิงบวกต่อราคาบิตคอยน์ โดยประเมินว่าอาจพุ่งทะลุ 85,000 ดอลลาร์ (ราว 1.24 ล้านบาท) และอาจแตะระดับก่อนประกาศภาษีนำเข้าที่ 88,500 ดอลลาร์ (ราว 1.29 ล้านบาท) ก่อนช่วงสุดสัปดาห์ ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงประมาณ 9% ขณะที่บิตคอยน์และไมโครซอฟท์(MSFT) แสดงความแข็งแกร่ง เท่ากับว่า *บทบาทของบิตคอยน์ในตลาดยังคงได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น*
ภาษีนำเข้าครั้งนี้อาจไม่ใช่เพียงแรงกระตุ้นในระยะสั้นต่อราคาเหรียญเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับสถานะของบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ระดับโลกในยุคใหม่ *นักวิเคราะห์หลายรายเชื่อว่าแนวทางการค้าแบบปกป้องตนเองของทรัมป์ จะเป็นแรงผลักสำคัญที่ผลักดันให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตมากยิ่งขึ้น*
ความคิดเห็น 0