แอ็คแมนชี้ 'ทรัมป์' อาจเลื่อนภาษีนำเข้า เปิดทางเจรจา—ตลาดคริปโตนิ่งสวนตลาดหุ้นดิ่ง

บิล แอ็คแมน(Bill Ackman) นักลงทุนพันล้านและผู้ก่อตั้งเพอร์ชิงสแควร์ แคปิทอล แมเนจเมนต์(Pershing Square Capital Management) ผู้มีท่าทีสนับสนุนวงการคริปโต ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า *ประธานาธิบดีทรัมป์* อาจเลื่อนกำหนดการบังคับใช้ *นโยบายภาษีนำเข้าใหม่* ที่เพิ่งประกาศไป โดยชี้ว่า “ในความเป็นจริง ทรัมป์มีเวลาจำกัดเกินไปในการบรรลุข้อตกลง” และคาดว่ามีแนวโน้มที่จะมีการปรับเปลี่ยนแผน

เมื่อวันที่ 5 แอ็คแมนโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัวว่า เขาจะไม่แปลกใจเลยหากในเช้าวันจันทร์ *ทรัมป์เลื่อนการใช้มาตรการภาษี* ออกไป พร้อมระบุว่าการให้เวลาผ่อนผันจะเปิดโอกาสการเจรจาและให้เวลาธุรกิจปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหารที่กำหนดให้เรียกเก็บ ‘ภาษีพื้นฐาน’ 10% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากทุกประเทศ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ขณะที่ภาษีลงโทษเพิ่มเติมสำหรับประเทศที่มีการขาดดุลการค้าอย่างมีนัยสำคัญมีกำหนดมีผลบังคับในวันที่ 9

แอ็คแมนซึ่งเคยให้สัมภาษณ์หลังเหตุการณ์ล่มสลายของเอฟทีเอ็กซ์(FTX) เมื่อปี 2022 ว่า “*คริปโตจะไม่หายไปไหน*” ได้แสดงจุดยืนสนับสนุนวงการนี้มาโดยตลอด รอบนี้เขาให้ความเห็นว่า แม้นโยบายภาษีอาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ถือเป็น “การตอบโต้ต่อระบบการค้าโลกที่ไม่เป็นธรรม” ซึ่งเขามองเห็นด้วยในแนวทางโดยรวม

หลังการประกาศมาตรการภาษีเมื่อวันที่ 4 ตลาดหุ้นสหรัฐสูญเสียมูลค่าภายในวันเดียวสูงกว่ามูลค่าตลาดรวมของ *คริปโตเคอร์เรนซี* ทั้งตลาด แต่ในทางกลับกัน ตลาดคริปโตกลับแสดงสัญญาณนิ่งและได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น สร้างข้อสังเกตในวงการว่าคริปโตอาจเป็น “เครื่องมือเฮดจ์” ต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค

บรรดาผู้มีอิทธิพลในวงการอย่าง อาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ผู้ร่วมก่อตั้งบิทเม็กซ์(BitMEX) และ คาเมรอน วิงเคิลวอส(Cameron Winklevoss) ผู้ร่วมก่อตั้งเจมินี(Gemini) ต่างสนับสนุนแนวนโยบายภาษีดังกล่าว โดยเชื่อว่าจะเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจสหรัฐในระยะยาว

แอ็คแมนทิ้งท้ายว่ามาตรการนี้นับเป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่อาจส่งผลลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวม หากดำเนินการโดยไร้ระยะผ่อนผัน “เศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยลึก” พร้อมระบุว่า “วันที่ 7 ที่จะถึงนี้อาจเป็นหนึ่งในวันสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจอเมริกา” โดยสายตาทั้งหมดจะจับจ้องไปที่ท่าทีของทรัมป์อย่างใกล้ชิด