ชิบะอินุ(SHIB) ดิ่ง 13% แม้ชิบาเรียมแตะ 10 ล้านบล็อก เผชิญแรงขาย-ความผันผวนตลาดคริปโต

ชิบะอินุ(SHIB) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลยอดนิยม กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านราคาท่ามกลางการเติบโตของโครงการเทคโนโลยีระดับสูง ล่าสุด *ชิบาเรียม(Shibarium)* ซึ่งเป็นโซลูชันเลเยอร์ 2 บนเครือข่ายอีเธอเรียม(ETH) ได้มียอดบล็อกสะสมทะลุ *10 ล้านบล็อก* เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญของระบบนิเวศชิบะอินุ อย่างไรก็ตาม ราคาของ SHIB กลับร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี

ตามข้อมูลจากตลาด ราคาของ SHIB ร่วงลงราว *13% ภายในวันเดียว* มาอยู่ที่ระดับ *0.00001053 ดอลลาร์* การร่วงลงอย่างรวดเร็วนี้เกิดขึ้นแม้จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง ‘ช่องว่างระหว่างความคาดหวังของนักลงทุนกับสภาพความเป็นจริง’

ชิบาเรียมเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม 2023 โดยมีจุดประสงค์เพื่อ *ลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม* และ *เพิ่มความเร็วในการประมวลผล* ปัจจุบันมีปริมาณธุรกรรมสะสมมากกว่า 1 พันล้านรายการ แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ชัดเจนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน

แม้จะมีพัฒนาการเชิงเทคนิคเช่นนี้ ราคาของ SHIB ก็ยังดิ่งลงเช่นเดียวกับตลาดคริปโตเคอเรนซีทั่วโลก โดยเฉพาะจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปะทุของสงครามการค้าซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างรุนแรง ขณะนี้ราคาบิตคอยน์(BTC) ตกลงมาต่ำกว่า *75,000 ดอลลาร์* ส่วนอีเธอเรียมร่วงต่ำกว่า *1,500 ดอลลาร์*

ปัจจัยกดดันเพิ่มเติมมาจาก *อัตราการเผาเหรียญที่ลดลง* โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ชิบะอินุเผาเพียง *180 ล้านเหรียญ* ลดลงประมาณ *85%* เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า แม้ว่าจะมีการเผาเหรียญไปแล้วรวมกว่า 410 ล้านล้านเหรียญ แต่ก็ยังมี *ปริมาณหมุนเวียนมากกว่า 584 ล้านล้านเหรียญ* อยู่ในตลาด ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อราคามากขึ้น

ขณะเดียวกัน *ยอดสุทธิเข้าแบบ Netflow ในตลาดแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์* ของ SHIB ก็ยังอยู่ในแดนบวกเกือบทุกวัน หมายถึงมีเหรียญมากขึ้นถูกย้ายไปยังตลาดแลกเปลี่ยน เสริมความเป็นไปได้ในการเกิดการ *เทขาย* และเป็นสัญญาณว่าแรงขายอาจก่อตัวเพิ่มขึ้น

"ความคิดเห็น" แม้จะเห็นได้ชัดว่า SHIB มีการเดินหน้าในด้านเทคโนโลยี แต่ในภาวะปัจจุบัน การพึ่งพาเทคนิคเพียงอย่างเดียวไม่อาจชะลอความผันผวนของราคาได้ อุตสาหกรรมเชื่อว่าในระยะยาว การลดซัพพลายและการขยายระบบนิเวศอาจนำไปสู่การฟื้นตัวของมูลค่าเหรียญ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำคัญในช่วงนี้ยังคงเป็น *ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์* และ *แรงเทขายจากนักลงทุน*