ข่าว 
ข้อมูลเหรียญ 
แนะนำสื่อ 
ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หุ้นของเอ็นวีเดีย(NVDA) และเอเอ็มดี(AMD) ร่วงลงอย่างรุนแรงในการซื้อขายนอกเวลา โดยเอ็นวีเดียระบุว่าผลิตภัณฑ์ชิปปัญญาประดิษฐ์(AI) รุ่น H20 ของบริษัท อาจสร้างผลขาดทุนสูงถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.3 แสนล้านบาท) หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ บังคับให้ต้องมีใบอนุญาตส่งออก
ในการรายงานต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) เมื่อวันที่ 15 เมษายน เอ็นวีเดียเปิดเผยว่า ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นรวมถึง ‘สต๊อกสินค้า’, ‘สัญญาซื้อขาย’ และ ‘ค่าใช้จ่ายอนุรักษ์ทรัพย์’ จะส่งผลต่อผลประกอบการในไตรมาสแรก โดย H20 ถือเป็นชิป AI ประสิทธิภาพสูงที่ยังสามารถส่งออกไปยังจีนได้ และมีรายงานว่าใช้งานโดยสตาร์ทอัพด้าน AI ของจีนชื่อ ดีปซีค(DeepSeek)
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 9 เมษายน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้แจ้งไปยังผู้ผลิตชิปว่า ตั้งแต่นี้ไป ชิป H20 และชิปอื่น ๆ ที่มีแบนด์วิธใกล้เคียงกัน จะต้องมี ‘ใบอนุญาตส่งออก’ แม้จะส่งไปที่ ‘ฮ่องกง’ หรือ ‘มาเก๊า’ ก็ตาม โดยรัฐบาลแสดงความกังวลว่าสินค้าเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ใน ‘ซูเปอร์คอมพิวเตอร์’ ของจีน
ตามรายงานของ NPR การเคลื่อนไหวนี้เคยถูก ‘ระงับชั่วคราว’ หลังจากการพบปะระหว่าง ‘ประธานาธิบดีทรัมป์’ และ เจนเซน หวง ซีอีโอของเอ็นวีเดีย เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น แต่กลับถูกนำมาบังคับใช้อีกครั้งโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ส่งผลให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมเกิดความไม่แน่นอนสูง ท่ามกลางแนวโน้มที่นโยบายการค้าของทรัมป์จะยิ่ง ‘เข้มงวด’ มากขึ้น
เอ็นวีเดียพยายามตอบโต้แรงกดดันด้วยการประกาศแผนการผลิตชิป AI ภายในสหรัฐฯ ซึ่งตามประกาศเมื่อวันที่ 14 เมษายน ระบุว่า บริษัทจะลงทุน ‘หลายร้อยล้านดอลลาร์’ ในช่วง 4 ปีข้างหน้า เพื่อย้ายการผลิตบางส่วนกลับสู่ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังคงตอบสนองในเชิงลบ โดยนักวิเคราะห์การเงินจากบัญชี The Kobeissi Letter แสดงความเห็นว่า “ไม่มีบริษัทใดที่ปลอดภัยจากภาษีศุลกากร”
การซื้อขายนอกเวลาหุ้นเมื่อวันเดียวกัน เอ็นวีเดีย ร่วงลง 6% เหลือ 105 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้นลดลงแล้วกว่า 22% ส่วนเอเอ็มดี ก็ร่วงลงกว่า 7% ปิดที่ 88.55 ดอลลาร์ ลดลงรวมแล้วกว่า 25% นับตั้งแต่ต้นปี
ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐฯ สะท้อนถึงการเปิดฉากมาตรการควบคุมเทคโนโลยีอย่างจริงจังในช่วงที่สงครามเทคโนโลยีระหว่างสองชาติเข้าสู่จุดเดือดมากขึ้น ความกังวลยังลุกลามไปถึง ‘ตลาดคริปโต’ โดยเฉพาะโทเคน AI ซึ่งอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากข้อจำกัดส่งออกดังกล่าว ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีต่างจับตาอย่างใกล้ชิดว่า รัฐบาลของทรัมป์จะขยายมาตรการควบคุมในระลอกถัดไปหรือไม่
ความคิดเห็น 0