นักลงทุนบิตคอยน์(BTC) เริ่มหันมองทองคำ ท่ามกลางข้อจำกัดการถือครองจริง

ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนบิตคอยน์(BTC) บางส่วนเริ่มมองหาวิธีลงทุนในทองคำแบบทางอ้อม ทว่าในขณะเดียวกัน แนวโน้มดังกล่าวก็สะท้อนถึงข้อจำกัดในด้านการเข้าถึงทองคำในรูปแบบสินทรัพย์จริงซึ่งยังคงมีอยู่หลายประการ

แม้ว่านักลงทุนสามารถถือครองทองคำในรูปแบบเครื่องประดับ แท่งทองคำ หรือเหรียญทอง แต่ผู้เชี่ยวชาญในวงการเตือนว่า การลงทุนลักษณะนี้มักเผชิญกับอุปสรรค ทั้งในเรื่อง ‘การรับประกันคุณภาพ’, ‘สภาพคล่องในการขาย’, ไปจนถึง ‘ค่าพรีเมียมที่สูง’ เมื่อเทียบกับราคาทองคำตลาดโลก ทำให้การครอบครองทองคำในระยะยาวกลายเป็นเรื่องที่หลายคนเริ่มลังเล

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้สนับสนุนทองคำกลับมองว่า ‘ทองคำ’ เหมาะกับนักลงทุนทั่วไปมากกว่าเมื่อเทียบกับ ‘บิตคอยน์’ เนื่องจากไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนอย่างการจัดการคีย์ส่วนตัวหรือการเข้าใจกลไกการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของนักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดคริปโต

ปัจจุบัน ‘ทองคำ’ และ ‘บิตคอยน์’ ต่างก็สามารถลงทุนผ่านทางผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น โทเคนที่อิงสินทรัพย์จริง และกองทุน ETF ได้เหมือนกัน แต่เมื่อมองด้าน ‘การถือครองจริง’ ยังปรากฏความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยเฉพาะต้นทุนเพิ่มเติมในกระบวนการขนส่ง เก็บรักษา และการตรวจสอบทองคำจริง ในขณะที่บิตคอยน์มีจุดแข็งตรงที่ไม่ต้องพึ่งพาการจัดการทางกายภาพเหล่านี้

รอส เชเมลลิแยก ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มโทเคนไลซ์ ‘สโตบ็อกซ์(Stobox)’ แสดงความเห็นว่า *“การซื้อบิตคอยน์นั้นง่ายและรวดเร็วกว่าการซื้อทองคำจริงมาก”* เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า บิตคอยน์สามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ขณะที่ทองคำจำเป็นต้องใช้กระบวนการเพิ่มเติม เช่น การจัดเก็บในตู้นิรภัย การยืนยันคุณภาพ และการหาช่องทางขายคืน

ด้านอดัม โรว์ หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทผู้ให้บริการกระเป๋าเงินสินทรัพย์ดิจิทัล ‘คอมโพซีเคียวร์(CompoSecure)’ ก็เสริมว่า *“ทองคำจริงยังคงมีอุปสรรคทั้งในด้านจิตใจและค่าใช้จ่ายที่ต้องพิจารณา”* พร้อมเน้นว่า การเก็บรักษาและการเข้าถึงทองคำจริงนั้นอาจไม่สะดวกเท่าไหร่ ทั้งในแง่ความปลอดภัยและประโยชน์ทางการเงิน

แม้ทองคำและบิตคอยน์จะได้รับการยอมรับในฐานะทางเลือกในการป้องกันเงินเฟ้อ แต่ในด้าน ‘ความสะดวกในการใช้งานและการลงทุน’ ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่การ ‘เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักลงทุนในอนาคต’ ที่หันมานิยม *ทรัพย์สินดิจิทัล* มากยิ่งขึ้น