ทุนสถาบันแห่ลงทุนขุดบิตคอยน์(BTC) ในสหรัฐฯ รับนโยบายทรัมป์-โอกาสสร้างศูนย์ข้อมูล AI

อุตสาหกรรมการขุดบิตคอยน์(BTC) ในสหรัฐฯ กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยกระแสการลงทุนไม่ได้หยุดอยู่แค่ในตัวสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการลงทุนโดยตรงในโครงสร้างพื้นฐานของฟาร์มขุด ซึ่งขับเคลื่อนด้วยนโยบายที่เป็นมิตรต่อคริปโตและความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของการขุดบิตคอยน์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ยังมี ‘ความพยายามนำเครื่องขุดมาใช้ประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ (AI)’ ซึ่งกำลังเพิ่มเสน่ห์ในเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรม

ตามรายงานของบริษัท CoinShares ในไตรมาส 3 ปี 2024 พบว่า ‘ต้นทุนเฉลี่ยในการขุดบิตคอยน์ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ อยู่ที่ 55,950 ดอลลาร์’ (ประมาณ 8.16 ล้านบาท) ขณะที่ราคาในตลาดช่วงนั้นแตะ 98,300 ดอลลาร์ (ประมาณ 14.36 ล้านบาท) แสดงให้เห็นว่า ‘กำไรขั้นต้นจากการขุดยังคงสูง’ อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลอื่นให้ค่าที่ต่างกัน เช่น MacroMicro ประเมินต้นทุนไว้ที่ 92,000 ดอลลาร์ ส่วน Glassnode ชี้ผ่านโมเดลการวิเคราะห์ว่าอยู่ที่ 34,400 ดอลลาร์

ต้นทุนการขุดแตกต่างกันไปตามพื้นที่ ตัวอย่างเช่นในไอร์แลนด์ ต้นทุนไฟฟ้าสำหรับการขุด 1 BTC อาจสูงถึง 321,000 ดอลลาร์ (ราว 46.86 ล้านบาท) ขณะที่ในอิหร่านใช้เพียง 1,300 ดอลลาร์ (ราว 189,800 บาท) นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนเพิ่มเติมอย่างค่าอุปกรณ์ ค่าแรง และค่าบำรุงรักษา ซึ่ง ‘บริษัทขุดขนาดใหญ่บางแห่งสามารถคงผลตอบแทนได้’ และแสดงความเคลื่อนไหวในการซื้อกิจการผู้ขุดขนาดเล็กหรือขยายธุรกิจ แสดงถึง ‘ศักยภาพในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม’

อีกหนึ่งรายได้ที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนในการขุดคือ ‘ค่าธรรมเนียมธุรกรรมในเครือข่ายบิตคอยน์’ โดยในช่วงเดือนที่ผ่านมา ค่าธรรมเนียมรายวันอยู่ในช่วง 360,000 – 1,300,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 52.5 – 189.8 ล้านบาท) หรือเฉลี่ยที่ 595,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 87.6 ล้านบาท) แหล่งรายได้เสริมนี้ช่วยลดความผันผวนและเปิดโอกาสให้ขยายรูปแบบธุรกิจ

เทคโนโลยีการขุดยังนำไปใช้กับธุรกิจ AI ด้วยการใช้ฮาร์ดแวร์และโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เพื่อให้บริการด้าน AI ทำให้บทบาทของกิจการขุด ‘เปลี่ยนจากการสกัดคริปโตสู่การเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลขั้นสูง’

โดยอ้างอิงข้อมูลของ EY-Parthenon และ Coinbase พบว่า 83% ของนักลงทุนสถาบันวางแผนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในคริปโตในปีนี้ และ 51% เตรียมลงทุนโดยตรงในบริษัทด้านสินทรัพย์ดิจิทัลรวมถึง ‘ธุรกิจขุด’ ขณะที่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ‘สหรัฐฯ มีส่วนแบ่งแฮชเรตในการขุดบิตคอยน์มากกว่า 40% ของทั้งโลก’ ซึ่งถือเป็นฐานที่แข็งแกร่งต่อนักลงทุน

บริษัทหลักในอุตสาหกรรมนี้เริ่มรับเงินทุนมหาศาล เช่น CoreWeave ซึ่งระดมทุนได้ 650 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 9,490 ล้านบาท) และเตรียมเสนอขายหุ้น IPO มูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 58,400 ล้านบาท) ขณะที่ Bgin Blockchain จากสิงคโปร์ก็เตรียมยื่นเสนอขายหุ้นในสหรัฐด้วยความคาดหวังการระดมทุนที่ 50 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 730 ล้านบาท) เงินลงทุนเหล่านี้อาจช่วยรัดตัวทางฝั่งอุปทานในอุตสาหกรรมการขุด และ ‘เพิ่มความขาดแคลนของบิตคอยน์ในตลาด’ ซึ่งอาจดันราคาสูงขึ้น

กระแสเชิงบวกนี้ยิ่งชัดเจนนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีก่อนที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี และได้แถลงแนวทาง ‘สะสมบิตคอยน์เป็นทรัพย์สินยุทธศาสตร์’ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างมาก แนวทางนี้นำมาซึ่งแรงบันดาลใจแก่อุตสาหกรรม ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจขุดคริปโตในสหรัฐฯ สร้างมูลค่าเพิ่มเข้าสู่จีดีพีราว 4.1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 59,860 ล้านบาท) และสร้างงานกว่า 31,000 ตำแหน่ง

ยิ่งไปกว่านั้น อุปกรณ์การขุดยังช่วยพัฒนาพื้นที่ยากจนในสหรัฐฯ เพิ่มรายได้ภาษี และฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น คล้ายกับช่วงยุคเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมน้ำมันในอดีต

เมื่อการระดมทุนและ IPO ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจขุดบางแห่งเริ่มปรับตัวจากเป้าหมายการขุดคริปโตไปสู่การสร้าง ‘โครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเพื่อป้อนระบบ AI’ อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจากสถานการณ์นี้ สหรัฐฯ ภายใต้นโยบายที่เป็นมิตรของทรัมป์ กำลังกลายเป็นศูนย์กลางระดับโลกในด้านคริปโตและเทคโนโลยีบล็อกเชน

‘คำถามสำคัญในตอนนี้’ คือ ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำในยุคใหม่นี้ เพราะ ‘ทุนการเงินดั้งเดิมได้ลงทุนเรียบร้อยแล้ว’ และ ‘การตื่นทองดิจิทัลเพิ่งเริ่มต้น’