รัฐบาลสหรัฐฯ เดินหน้าสนับสนุน *สเตเบิลคอยน์* อย่างจริงจังในฐานะส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งของ ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ บนเวทีโลก สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยระหว่างการให้ข้อมูลต่อวุฒิสภาในการพิจารณางบประมาณว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตลาดของ *สเตเบิลคอยน์* ที่มีสินทรัพย์หนุนหลังเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อาจขยายตัวแตะระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,780 ล้านล้านวอน) ได้
แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามในการรักษาอิทธิพลของดอลลาร์ในยุคสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังกลายเป็นอนาคตของการเงินโลก โดยแสดงให้เห็นถึงทิศทางเชิงนโยบายที่มุ่งนำ *คริปโตเคอร์เรนซี* มาใช้ ‘เสริม’ ระบบการเงินเดิม แทนที่จะมาแทนที่โดยตรง เบสเซนต์ย้ำว่า *สเตเบิลคอยน์* ที่รองรับโดยพันธบัตรรัฐบาลหรือหนี้ระยะสั้นของสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการคลัง แต่ยังสามารถแพร่หลายในระดับโลกได้อีกด้วย
ข้อมูลจากรายงานของ Citi Ventures ระบุว่า ภายในปี 2030 ปริมาณการออก *สเตเบิลคอยน์* อาจเพิ่มสูงถึง 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5,143 ล้านล้านวอน) ซึ่งถือเป็นศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ไม่อาจมองข้าม ความเคลื่อนไหวนี้ยังสอดคล้องกับกระแสเร่งผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวกับ *สเตเบิลคอยน์* ซึ่งหลายฉบับผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้ว หากกฎหมายเหล่านี้มีผลบังคับใช้ คาดว่า *สเตเบิลคอยน์* จะมีบทบาทสำคัญในระบบการเงินอเมริกัน
‘ทรัมป์’ เองก็ออกมาแสดงจุดยืน *สนับสนุนสเตเบิลคอยน์* อย่างเปิดเผย พร้อมได้รับการสนับสนุนจากทั้งกลุ่มสมาคมอุตสาหกรรมคริปโตและบรรดานักล็อบบี้ ขณะที่ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ก็เริ่มแสดงความสนใจในการนำ *สเตเบิลคอยน์* มาใช้ในระบบชำระเงิน ด้วยเหตุผลที่ว่า มีค่าธรรมเนียมต่ำและความเร็วในการทำธุรกรรมสูงกว่าระบบบัตรเครดิตเดิมอย่าง Visa และ Mastercard
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกสถาบันการเงินจะเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ธนาคารขนาดเล็กบางแห่งกังวลว่าแนวโน้มดังกล่าวอาจทำให้เงินฝากหายไปและส่งผลต่อความสามารถในการปล่อยสินเชื่อ ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งเริ่มเร่งพัฒนา *สเตเบิลคอยน์* ของตนเอง เพื่อตอบรับตลาดและคงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ค้าปลีกรายใหญ่บางรายถึงขั้นเรียกร้องให้รัฐบาลควบคุมการครอบงำตลาดของ Visa และ Mastercard ด้วยซ้ำ แต่แนวคิดนี้ยังถูกชะลอโดยฝ่ายนิติบัญญัติของวุฒิสภา ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ก็กำลังผลักดันร่างกฎหมายแยกต่างหาก เพื่อป้องกันการใช้ *คริปโตเคอร์เรนซี* ในการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากเจ้าหน้าที่ในตำแหน่ง
หากร่างกฎหมาย *สเตเบิลคอยน์* ฉบับใหม่ผ่านการรับรอง *ดอลลาร์สหรัฐ* อาจเข้าสู่ยุค ‘ดิจิทัล’ โดยมีการควบคุมตามกฎหมายและหนุนหลังด้วยหนี้รัฐบาลอย่างเป็นระบบ ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในเกมยื้ออำนาจทางเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ อีกด้วย *ความคิดเห็น: กลยุทธ์ใหม่นี้อาจเปิดศักราชใหม่ของการเปลี่ยนผ่านจากเงินกระดาษสู่โลกการเงินดิจิทัลใต้กรอบสากลของดอลลาร์*
ความคิดเห็น 0