คดี Ripple(XRP) ปะทะ SEC ตึงเครียดอีกระลอก นักลงทุนจับตาคำตัดสินอาจดันราคาแตะ 5 ดอลลาร์

การต่อสู้ทางกฎหมายอันยืดเยื้อระหว่าง ริปเปิล(XRP) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) กลับมาสร้างความตึงเครียดอีกครั้ง เมื่อทั้งสองฝ่ายได้ยื่นคำร้องให้ผู้พิพากษาแอนเนอลิซา ตอร์เรส พิจารณา ‘คำชี้แนะแนวทาง (indicative ruling)’ ซึ่งเป็นขั้นตอนทางกฎหมายที่ใช้ในการร้องขอความเห็นเบื้องต้นต่อการแก้ไขคำตัดสิน เดิมมีการคาดการณ์ว่า ผู้พิพากษาตอร์เรสอาจออกข้อสรุปเร็วที่สุดภายในสัปดาห์นี้ ด้านราคาของริปเปิลเริ่มมีแรงเก็งกำไรอีกครั้ง โดยนักลงทุนบางส่วนมั่นใจว่า XRP อาจทะลุระดับ ‘5 ดอลลาร์’ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแนะให้ระมัดระวังและไม่ตั้งความคาดหวังเกินไป

บิล มอร์แกน(Bill Morgan) ทนายความชาวออสเตรเลียและผู้สนับสนุน XRP เตือนว่าคำร้องล่าสุดนี้ไม่ได้การันตีผลลัพธ์เชิงบวก เขาอ้างถึงกรณีในอดีตที่คำร้องแบบเดียวกันเคยถูกปฏิเสธภายในเวลาเพียง 7 วัน พร้อมเสริมว่าผู้พิพากษาตอร์เรสอาจตัดสินรวดเร็วอีกเช่นเคย ‘ความคิดเห็น’: ข้อเท็จจริงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของผลคำพิพากษา และเตือนให้นักลงทุน XRP ติดตามสถานการณ์ด้วยความรอบคอบ

ประเด็นหลักของคำร้องในครั้งนี้มุ่งไปที่การลดโทษค่าปรับและยกเลิกการห้ามดำเนินการ ซึ่งเป็นเงื่อนไขจำเป็นที่ทั้งสองฝ่ายใช้ในการเจรจาข้อตกลง หากศาลรับคำร้อง ก็อาจทำให้กระบวนการอุทธรณ์ต่างๆ ยุติลงด้วยเช่นกัน มอร์แกนประเมินว่า “รูปแบบนี้มีข้อดีในแง่ของการลดความสิ้นเปลืองทรัพยากรทางกฎหมาย” แต่ในขณะเดียวกันก็เตือนว่า การที่ริปเปิลยื่นเงื่อนไขโดยมีการแก้คำตัดสินเป็นพื้นฐาน อาจถือเป็น ‘ความเสี่ยง’ และต้องขึ้นอยู่กับว่าศาลจะยอมรับท่าทีของริปเปิลหรือไม่

ตลาดคริปโตขณะนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังและความกังวลผสมกัน บางรายวิเคราะห์ว่าหาก ‘ข้อตกลงได้รับการอนุมัติ’ ราคา XRP มีโอกาสกระโดดสู่ระดับ 2.5 ดอลลาร์ในช่วงสั้น และอาจไปถึง ‘5 ดอลลาร์’ ได้ในระยะยาว แต่ก็เป็นไปได้เฉพาะในกรณีที่มีกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจน ในทางกลับกัน หากศาลปฏิเสธคำร้องอีกครั้ง ราคาของ XRP ก็อาจ ‘ร่วงลงอย่างรวดเร็ว’ ได้เช่นกัน

ผลการตัดสินครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลต่อบริษัทริปเปิลเท่านั้น แต่ยังอาจเป็น ‘จุดชี้วัด’ สำหรับทิศทางของอุตสาหกรรมคริปโตทั้งหมด ถึงแม้ยังไม่ชัดเจนว่าศาลจะเลือกรับหรือปฏิเสธคำร้อง แต่ข้อพิพาทนี้สะท้อนความพยายามในการปรับจูนระหว่าง ‘ระบบกฎหมายแบบดั้งเดิม’ กับ ‘เทคโนโลยีการเงินยุคใหม่’ นักลงทุนจึงควรเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของ ‘ภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบ’ ในระยะยาว มากกว่าจะไล่เก็งกำไรจากเหตุการณ์เฉพาะหน้า