ราคาของพายคอยน์(PI) ยังคงเผชิญภาวะอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง โดยยังไม่สามารถทะลุระดับ ‘1 ดอลลาร์’ (ประมาณ 1,390 บาท) ได้อีกครั้ง ล่าสุดเคยตกลงแตะระดับต่ำสุดที่ 0.55 ดอลลาร์ (ประมาณ 767 บาท) ก่อนดีดกลับขึ้นมาแตะระดับ 0.63 ดอลลาร์ (ประมาณ 876 บาท) กระนั้น ราคากลับลดลงมาเคลื่อนไหวอยู่ราว 0.61 ดอลลาร์ (ประมาณ 848 บาท) สะท้อนแรงกดดันจากแนวโน้มตลาดคริปโตโดยรวมและสถานการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ
แม้ในช่วงหลังจะมีการถอนพายคอยน์ออกจาก OKX ซึ่งเป็นหนึ่งในกระดานเทรดระดับโลกเป็นจำนวนมาก แต่จำนวนเหรียญในระบบกลับเพิ่มขึ้น 29 ล้านเหรียญ ส่งผลให้มีเหรียญที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดรวมกว่า 346 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ‘อุปทาน’ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และสภาพแวดล้อมดังกล่าวไม่เอื้ออำนวยต่อการเพิ่มขึ้นของราคา
ในเชิงเทคนิค บางตัวชี้วัดชี้ว่าอาจกำลังก่อตัวเป็นรูปแบบ ‘ยอดคู่’ (double top) ซึ่งมักสะท้อนถึงแรงขายและการปรับฐาน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก MACD เริ่มส่งสัญญาณการกลับตัวขึ้นอย่างอ่อน อีกทั้ง ‘ปริมาณการซื้อขาย’ ยังคงอยู่ในระดับคงที่ ซึ่งหมายความว่าโอกาสการฟื้นตัวยังคงมีอยู่ในระยะสั้น
คำถามสำคัญในสายตานักลงทุนคือ พายคอยน์จะสามารถ ‘ทะลุ 1 ดอลลาร์’ ได้หรือไม่ หรือแม้แต่แตะระดับ 100 ดอลลาร์ (ประมาณ 139,000 บาท) ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัจจัยสำคัญที่อาจมีผลต่อความสำเร็จของพายคอยน์ ได้แก่ การเข้าจดทะเบียนในกระดานเทรดขนาดใหญ่อย่างไบแนนซ์, การเพิ่มขึ้นของการใช้งานจริงในโลกจริง และการกำหนดกรอบกฎหมายคริปโตให้ชัดเจนจากภาครัฐ
มุมมองตลาดระบุว่า ราคาของพายคอยน์ในระยะสั้นอาจแกว่งตัวอยู่ระหว่าง 1.5–3 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,085–4,170 บาท) ขณะที่ในระยะกลางถึงยาว หากข่าวดีเป็นจริง อาจมีโอกาสขยับขึ้นแตะ 10–50 ดอลลาร์ (ประมาณ 13,900–69,500 บาท) อย่างไรก็ตาม ความหวังดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากโครงการไม่สามารถสร้าง ‘การยอมรับในวงกว้าง’ และ ‘การใช้งานที่ชัดเจน’ ได้
ในภาพระยะยาวหลังปี 2030 มีนักวิเคราะห์บางรายประเมินว่า หากพายคอยน์สามารถสร้างระบบเศรษฐกิจบนบล็อกเชนแบบครบวงจรและได้รับการยอมรับในระดับมหาชน ก็อาจเห็นราคาขยับแตะ 100 ดอลลาร์ได้ แต่ต้องไม่มองข้าม ‘แรงขายขนาดใหญ่’, ‘ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบ’ และปัจจัยความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งยังสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
ความคิดเห็น 0